9 หนังรักเหงาเพื่อ “คนเหงา” ในวันแห่งความรัก

ทุกๆ ล้วนเคยผ่านความรู้สึกที่เรียกว่า “ความเหงา” เป็นความรู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยวแม้ว่าจะมีคนห้อมล้อมมากมาย และมันอาจยิ่งเหงามากขึ้นเมื่อเห็นคนอื่นที่เขามีคู่กัน 14 กุมภาพันธ์สำหรับเหล่าคนเหงาจึงเป็นเหมือนวันอันตรายที่อยากจะให้ผ่านพ้นไปไวๆ แต่ไหนๆ ก็คงสลัดความรู้สึกนี้ออกไปได้ไม่ง่ายๆ

ดังนั้น แทนที่จะหลีกหนีเรามาหักดิบเหงากันให้เต็มที่ไปเลยแล้วกัน วันนี้เลยถือโอกาสนำเสนอ 9 หนังรักเหงา สำหรับคนเหงา ในวันแห่งความรัก ที่บอกไว้เลยว่าบางเรื่องอาจทำให้เหงาตายได้เลย

 

หมายเหตุ: คัดจากเฉพาะหนังที่เคยดูมาและประทับใจส่วนตัว อาจมีหนังที่เหมาะกับคนเหงามากกว่านี้ แต่ไม่เคยดู ก็ไม่อยู่ใน List นี้ ถ้าใครมีแนะนำเพิ่มเติมก็เชิญได้นะครับ

 

9. Chungking Express

 

เรื่องย่อ: 2 เรื่องราวของ 2 นายตำรวจรหัส 622 และ 623 ที่เกิดขึ้นต่างที่ ต่างเวลา เหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกัน แต่เชื่อมต่อกันด้วยความรู้สึกของความเหงา

 

ความเห็น: หนังของหว่องกาไวมักขึ้นชื่อเรื่องบรรยากาศเหงาๆ อยู่แล้ว แต่หลายคนยกย่อยให้เรื่องนี้คือที่สุดของหนังเหงา ท่ามกลางเมืองใหญ่ที่แสนวุ่นวายอย่างฮ่องกง Chungking Express ถ่ายทอดให้เห็นถึงอารมณ์เหงา อ้างว่า เปล่าเปลี่ยวของคนในเมืองนี้ แต่ขณะเดียวกันก็บอกกับเราว่า “ถึงเหงาเราก็เท่ได้นะ” อารมณ์เหงาปนเท่ทำให้หนังเรื่องนี้ยังคงมีเสน่ห์แม้ว่าเวลาจะผ่านไปแล้วหลายปีก็ตาม

 

8. Brokeback Mountain

 

เรื่องย่อ: ในช่วงเวลาที่รักร่วมเพศยังเป็นสิ่งต้องห้าม 2 คาวบอยหนุ่มจากต่างที่ที่มีโอกาสมาทำงานด้วยกัน และเกิดตกหลุมรักกัน จนกลายเป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนตลอดช่วงเวลา 20 ปี เมื่อต่างคนต่างก็มีครอบครัว แต่ใจยังโหยหาซึ่งกัน

 

ความเห็น: อย่ามองแค่ว่ามันคือหนังเกย์ จนข้ามหนังดีๆ อีกเรื่องหนึ่งไป ซึ่งบอกกับเราว่า ความเหงามันเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่เลือกเพศ เลือกเวลา และเมื่อเกิดขึ้นแล้วพลังทำลายร้างของมันช่างรุนแรง จนอยากหาใครสักคนมาทำลายความรู้สึกนี้ แม้ว่าจะเป็นเพศเดียวกันก็ตาม แต่อย่างที่บอกไว้ ในห้วงเวลาที่รักร่วมเพศคือสิ่งต้องห้าม ตัวละครในเรื่องก็ต้องเลือกว่าจะยอมฝืนสังคมเพื่อแก้เหงาให้ตัวเองหรือไม่

 

7. Air Doll

 

เรื่องย่อ: เมื่อตุ๊กตายางสำหรับบำบัดความใคร่เกิดมีชีวิตจิตใจขึ้นมา และเธอเริ่มออกไปเรียนรู้โลกภายนอก ซึ่งชักนำให้พบกับชายหนุ่มร้าน DVD และความรู้สึกที่เรียกว่า “ความรัก”

 

ความเห็น: มองข้ามฉาก 18+ ในเรื่องนี้ นี่คือหนังที่เต็มไปด้วยแง่คิด ปรัชญา และภาพสะท้อนของผู้คนในเมืองใหญ่ ที่แม้จะเต็มไปด้วยผู้คน แต่สภาพแวดล้อมที่แข่งขันและบีบคั้น ทำให้หลายคนสูญเสีย หลายคนเจ็บซ้ำ จนเลือกที่จะหลีกหนีหนีสังคมและหาทางคลายเหงาตัวเองด้วยตุ๊กตายาง ในแง่หนึ่งพวกเขาเหล่านั้นก็ไม่ต่างจากตุ๊กตายาง ที่ภายใน “กลวง” เปล่า และคงมีเพียงความรักความสัมพันธ์เท่านั้นที่จะช่วยให้หลุดพ้นสภาวะ “กลวง” และ “เหงา” เหล่านี้ได้

6. Once

 

เรื่องย่อ: สองคนแปลกหน้าที่บังเอิญได้มาพบเจอกันโดยมีดนตรีเป็นสื่อกลาง นำไปสู่การช่วยกันผลักดันให้ฝันของแต่ละฝ่ายเป็นจริง

 

ความเห็น: หนังรักเหงาจากไอริชที่เนื้อเรื่องไม่ค่อยมีอะไร แถมเดินเรื่องอย่างเรียบง่าย แต่ในความเรียบนี้ก็พาเราไปซึมซับกับอารมณ์เหงาๆ ของ 2 ตัวเอง ผ่านบทเพลงต่างๆ ที่นอกจากจะเพราะแล้วยังโครตเหงา อย่างไรก็ตาม หนังก็ไม่ได้ใจร้ายเกินไปนัก อย่างน้อยความเหงาก็ชักนำให้คน 2 คนมาเจอกัน แม้มันอาจไม่จบลงด้วยความสมหวัง แต่อย่างน้อยมันก็ทิ้งความอบอุ่นในใจไว้ให้ เป็นความเหงาที่แสนอบอุ่น

 

 

5. Il Mare

 

เรื่องย่อ: เรื่องราวความรักข้ามเวลาของ “ซังฮุน” สถาปนิกหนุ่มที่อาศัยอยู่ในบ้าน “il Mare” ปี 1997 “อันจู” นักพากย์สาวที่อาศัยอยู่ในบ้าน “Il Mare” ปี 1999 โดยมีจดหมายข้ามเวลาเป็นสื่อกลาง

 

ความเห็น: รักข้ามเวลาอาจมีมาแล้วหลายเรื่อง แต่กับห้วงเวลาที่ห่างกันเพียงแค่ 2 ปี อาจดูเหมือนใกล้ แต่กลับยิ่งเจ็บปวดกว่า ที่ยังไงก็ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ก็คงคล้ายกับบางคน ที่ต่อให้ใช่แค่ไหน แต่บางทีก็แค่ “เวลาเราไม่ตรงกัน” นี่คือหนึ่งในต้นแบบหนังรักเกาหลียุคก่อน ภาพสวย เพลงเพราะ นางเอกน่ารัก แถมยังแฝงด้วยอารมณ์เหงาๆ ของคน 2 คน ก่อนที่จะโดนหนังรักนางเอกวุ่นวายกับพระเอกเย็นชายึดครองจอในปัจจุบัน

 

4. เรื่องรักน้อยนิดมหาศาล

 

เรื่องย่อ: ชายญี่ปุ่นที่คิดอยากจะฆ่าตัวตายอยู่ตลอดเวลา กับหญิงสาวชาวไทยที่เพิ่งสูญเสียน้องสาวจากอุบัติเหตุ ที่เหตุการณ์ชักนำให้ทั้ง 2 ต้องมาอยู่ร่วมกัน และเรียนรู้ความหมายของการมีชีวิตอีกครั้ง

 

ความเห็น: เคยเหงาจนอยากฆ่าตัวตายมั้ย เหงาแบบรู้สึกว่าเหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก ทั้งที่มีคนอยู่รอบกาย หนังเรื่องนี้จะพาไปพบกับความรู้สึกแบบนั้น การดำเนินเรื่องที่นิ่งๆ ดูเหมือนจะไร้จุดหมาย แต่กลับถ่ายทอดอารมณ์เหงามาได้อย่างตรงใจสุดๆ เพราะมันคือสะท้อนอารมณ์ความโดดเดี่ยวที่ไม่รู้ว่าชีวิตจะเดินไปในทิศทางใด ยกให้เป็นหนังไทยที่พูดเรื่องความเหงาได้ดีที่สุด

 

 

3. Up in the Air

 

เรื่องย่อ: ”Bingham” เจ้าหน้าที่รับบอกเลิกจ้างพนักงาน หนุ่มโสดที่กำลังสนุกอยู่กับชีวิตอันไร้พันธะและการเดินทางอยู่ตลอดเวลา แต่ชีวิตเขาต้องจุดเปลี่ยนเมื่อบริษัทของเขามีโนบายที่จะเปลี่ยนมารับบอกเลิกจ้างผ่านอินเทอร์เน็ต และความสัมพันธ์กับเพื่อนนักเดินทางที่กำลังเปลี่ยนมุมมองชีวิตโสดของเขา

 

ความเห็น: หนังพูดถึงคนๆ หนึ่งที่ใช้ชีวิตแบบตัวคนเดียว ซึ่งในมุมมองของเขานี่คือชีวิตที่เป็นอิสระ ไม่ผูกมัด อยากทำอะไรก็ได้ตามใจ และไม่เหงา แต่นั่นใช่สิ่งที่เขาต้องการจริงหรือ หนังค่อยๆ พาเราไปพบว่าบางทีในบางเวลา เราก็อาจต้องการใครสักคนเคียงข้างและเข้าใจเหมือนกัน บางครั้งการใช้ชีวิตอย่างอิสระและสุดเหวี่ยง ก็อาจเป็นแค่ความพยายามกันตัวเองไม่ให้รู้สึกเหงาเท่านั้น

 

2. Her

 

 

เรื่องย่อ: “Theodore Twonbly” นักเขียนการ์ดอวยพร ผู้ไม่ถนัดแสดงความรู้สึกในชีวิตจริงและกำลังระหว่างดำเนินการหย่ากับภรรยา ตัดสินใจซื้อระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ที่ติดตั้งและเรียกตัวเองว่า “Samantra” มาใช้ ซึ่งในเวลาไม่นานเขาก็เริ่มรู้สึกตกหลุมรัก OS ของตัวเองเสียแล้ว

 

ความเห็น: บรรยากาศ การถ่ายภาพ และดนตรีประกอบ ก็เพียงพอที่จะทำให้หนังเรื่องนี้อบอวลไปด้วยความเหงา แต่ที่เหนือกว่านั้นคือการชวนให้เราคิดว่า ทำไมบางคนถึงเลือกที่จะอยู่กับความเหงามากกว่าไปมีสัมพันธ์กับคนอื่นชีวิตจริง นั่นเพราะความสัมพันธ์/ความรักอาจลงเอยได้ทั้งสุขสมและเจ็บปวด ซึ่งเขาเหล่านั้นกล่าวว่าจะต้องเจออย่างหลัง จึงขอเลือกอยู่กับตัวเองดีกว่า หรือไม่ก็ขอรักกับสิ่งที่เขาสามารถคุมได้ง่ายกว่าอย่าง “ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์”

 

1. Lost in Translation

 

เรื่องย่อ: หนึ่งคือดาราตกอับที่มารับงานโฆษณาในต่างประเทศ อีกหนึ่งคือหญิงสาวที่ตามสามีมาทำงานถ่ายภาพ 2 คนเหงาที่โคจรมาเจอกัน ในมหานครที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและแสงสีอย่าง “โตเกียว”

 

ความเห็น: คงไม่เกินไปนักว่านี่คือหนังประจำชาติของคนเหงา ทั้งเนื้อเรื่อง ทั้งการเล่าเรื่อง ทั้งดนตรี ฯลฯ ล้วนชวนเราเข้าไปซึมซับกับความเหงา อาการที่ในหนังสื่อกับเราว่าเกิดจาก “ความล้มเหลวในการสื่อสาร” แม้จะอยู่ในมหานครขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยผู้คน แต่เมื่อไม่สามารถสื่อสารกับใครได้ แม้แต่กับคนที่่ใกล้ชิดก็เหมือนจะคุยกันคนละภาษา เมื่อนั้นความเหงาก็ถือโอกาสเข้าเกาะกุม จนกระทั่งเมื่อ “ค้นพบ” คนที่สื่อสารกับเราได้ตรงกันนั่นแหละ จึงจะช่วยคลายความรู้สึกนั้นได้ แต่จะเป็นอย่างไร ถ้าเราเจอคนๆ นั้นในวันที่ช้าไปเสียแล้ว

 

มีความน่าสนใจอย่างหนึ่งตรงที่ผู้กำกับ Lost in Translation คือ Sofia Coppola และผู้กำกับ Her คือ Spike Jonze เคยเป็นสามีภรรยากัน และว่ากันว่า Lost in Translation คือจดหมายของ Sofia ที่บอกเรื่องราวและอารมณ์ในช่วงเวลาที่ทั้ง 2 แยกทางกัน ขณะที่ Her ก็คือจดหมายของ Spike ที่บอกความรู้สึกที่เขาต้องเผชิญหลังการเลิกราและคำขอโทษต่ออดีตภรรยาของเขา และน่าสนใจกว่านั้นอีกเมื่อทั้ง Lost in Translation และ Her ต่างเชื่อมโยงกันด้วย Scarlett Johansson 

Avatar photo
Latest posts by จุรีพร โนนจุ่น (see all)