[Criticism] Before Trilogy – ก่อนความรักจะล่มสลาย (Spoil)

หมายเหตุ: ชื่อเรื่องได้แรงบันดาลใจมาจากชื่อหนังสือ “ก่อนความฝันจะล่มสลาย” ของแสตมป์

หากการทำหนังที่ใช้เวลาสร้างกว่า 12 ปี ใช้นักแสดงชุดเดิมตลอดการถ่ายทำเพื่อให้เห็นการเจริญเติบโตของตัวละครตลอดระยะเวลา 12 ปี อย่่างเรื่อง “Boyhood” ของผู้กำกับ “Richard Linklater” คือหนึ่งในหนังที่สามารถถือเป็น “ประวัติศาสตร์” บทหนึ่งของวงการภาพยนตร์แล้ว หนังไตรภาค “Before Trilogy” อีกหนึ่งผลงานของ “Richard Linklater” ก็มีสถานะไม่ต่างกัน และมันจะไม่ใช่แค่อีกหนึ่งประวัติศาสตร์ของวงการหนังเท่านั้น มันยังเป็นอีกหนึ่งประวัติศาสตร์ของชีวิตนักดูหนังด้วยเช่นกัน

“Before Trilogy” ของ Richard Linklater ประกอบไปด้วย “Before Sunrise” ออกฉายปี 1995 “Before Sunset” ออกฉายปี 2004 และ “Before Midnight” ออกฉายปี 2013 ทั้ง 3 ภาคมีเนื้อหาที่เรียบง่าย ว่าด้วยการพบกันและพูดคุยกันของคน 2 คน “Jesse” (Ethan Hawke) ชายหนุ่มอเมริกัน กับ “Celine” (Julie Delpy) หญิงสาวจากฝรั่งเศส ตลอดทั้งเรื่องในแต่ละภาคเต็มไปด้วยบทสนทนาของทั้ง 2 คน ตั้งแต่เรื่องตัวเองไปยันเรื่องสัพเพเหระที่ดูเหมือนไม่น่าจะเป็นหนังที่สนุกได้ แต่น่าแปลกที่บทสนทนาเหล่านั้นกลับไม่รู้สึกน่าเบื่อ อาจเพราะการแสดงที่แทบไม่เหมือนแสดงของตัวละครหลักทั้ง 2 คน ที่ทำให้เรารู้สึกว่าทั้ง 2 คนนั้น “กำลังคุย” กันอยู่จริงๆ ไม่ใช่แค่มาแสดงว่าคุยกัน ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นเสน่ห์ของเรื่องที่ทำให้ไม่ว่าบทสนทนาของพวกเขาจะดูไร้สาระหรือออกนอกเรื่องมากเพียงใด แต่เราก็ยังอยากสนใจที่จะฟังในสิ่งที่พวกเขาคุยกัน และสนใจอยากที่จะดูว่าพวกเขามีปฏิกิริยาอย่างไรต่อบทสนทนาของอีกฝ่าย

ทั้ง 3 ภาค เมื่อแยกออกมาทีละภาค ก็ถือเป็นหนังที่น่าติดตามทุกภาค แม้มันอาจไม่ใช่หนังที่กระแทกใจเราสุดๆ หรือมีจุดพีคอะไรให้ลุ้นสักเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม พอนำทั้ง 3 ภาคมารวมกัน มันกลับกลายเป็นหนังที่พูดเรื่อง “ความรัก” ได้ดีมากที่สุดเรื่องหนึ่งของโลก การพบกันของ Jesse และ Celine ในแต่ละภาค แม้จะยังคงรูปแบบเดิมๆ คือเต็มไปด้วยทสนทนาและช่วงระยะเวลาการสนทนาที่่กินระยะเวลาไม่เกิน 1 วัน แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ วัยและความคิดของทั้ง 2 คน ที่โตขึ้นในแต่ละภาค ซึ่งส่งผลไปสู่เนื้อหาการสนทนา และความรู้สึกที่ “แฝง” มากับบทสนทนาของทั้ง 2 ที่เติบโตขึ้นเช่นกัน

เมื่อตอนสร้าง “Before Sunrise” Richard Linklater ไม่ได้มีความคิดที่จะสร้างภาคต่อ เพราะถือว่าเรื่องก็สามารถจบได้โดยสมบูรณ์แล้ว กว่าที่ Richard จะตัดสินใจทำภาคต่อ “Before Sunset” เวลาก็ล่วงเลยมาหลายปีแล้ว ด้วยเหตุนี้ทั้ง Richard และ 2 นักแสดงนำที่จึงตัดสินใจให้เวลาในหนังดำเนินไปตามเวลาในโลกจริง เราจึงได้ภาคต่อที่ตัวละครเติบโตจากวัยรุ่น เข้าสู่วัยผู้ใหญ่ที่กำลังอยู่ในช่วงสร้างครอบครัว ยิ่งภาค 3 ทิ้งช่วงจากภาค 2 ถึง 9 ปีเช่นเดียวกัน ตัวละครได้เติบโตไปเป็นวัยกลางคนที่มีความรับผิดชอบเยอะมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อต้องมีลูกด้วย เมื่อวัยเปลี่ยน มุมมอง “ความรัก” ของพวกเขาก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ทั้งๆ ที่พวกเขาเคยเชื่อมั่นว่ามันจะไม่มีวันเปลี่ยนก็ตาม

ที่พิเศษไปกว่านั้น คือในขณะที่ Boyhood ทำให้เราเห็นการเติบโตของเด็กคนหนึ่งตลอด 12 ปี สิ่งที่ Before Trilogy คือทำให้เราเห็นการเติบโตของ “ตัวเราเอง” ด้วยเช่นกัน การทิ้งระยะห่าง 9 ปี ไม่ได้ทำให้แค่ตัวละครโตขึ้นเท่านั้น แต่ตัวเราเองก็โตขึ้นเช่นกัน พร้อมๆ กับที่ตัวละครใช้บทสนทนาเพื่อสำรวจอีกฝ่าย เราก็ได้ใช้โอกาสในการสำรวจความคิดเห็นของเราที่มีต่อ “ความรัก” เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นการจะดู Before Trilogy ให้เข้าถึงได้มากที่สุด จึงไม่ใช่ดูรวดเดียวจบ แต่ควรเว้นระยะการดูแต่ละภาคเอาไว้ อย่างน้อยก็สัก 1 อาทิตย์ แต่ยิ่งนานยิ่งดี เพื่อให้ระหว่างนั้น ความคิดเราได้เติบโตไปด้วย ส่วนตัวอดรู้สึกอิจฉาคนที่ได้ดูไตรภาคเรื่องนี้ตามเวลาที่เข้าฉายจริงไม่ได้ โดยเฉพาะคนที่มีวัยใกล้เคียงกับ Jesse และ Celine ที่น่าจะเป็นกลุ่มที่อินกับเรื่องนี้ไปได้มากที่สุด

Before Sunrise…ความฝัน

เรื่องราวของ “Jesse” และ “Celine” เริ่มต้นขึ้นในปี 1994 ที่เวียนนา ประเทศออสเตรีย จากคนแปลกหน้าที่รู้จักกันบนรถไฟด้วยความบังเอิญ แต่เพียงแค่บทสนทนาเพียงไม่กี่ประโยค ทั้ง 2 กลับรู้สึกว่านี่แหละคนที่ตามหา คนที่เราอาจไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่แค่ได้คุยกันก็คลิกกันทันที ความรู้เช่นนี้ทำให้ Jessie ตัดสินใจชวน Celine ลงจากรถไฟ และไปเที่ยวในกรุงเวียนนาด้วยกัน ก่อนที่เช้าวันรุ่งขึ้น Jesse จะต้องเดินทางไปขึ้นเครื่องเพื่อกลับอเมริกา

เพียงชั่วค่ำคืนเดียว Jesse กับ Celine กลับรู้สึกราวกับว่ารู้จักกันมาชั่วชีวิต พวกเขาเริ่มต้นด้วยบทสนทนาเหตุการณ์รอบข้างๆ เพื่อทำความรู้กัน ไปไกลถึงเรื่องนามธรมอย่างเรื่องศาสนา ชีวิต ที่อาจฟังดูบ้าๆ พอๆ ไร้สาระ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นบทสนทนาที่ทำให้ทั้ง 2 ได้ขณะเดียวกันบทสทนายากๆ แบบนี้ ก็เปิดโอกาสให้ทั้งสองได้แลกเปลี่ยนกัน ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาความสัมพันธ์ และการสำรวจมุมมองของอีกฝ่าย ซึ่งเมื่อเห็นว่ามันเป็นมุมมองที่เรารับได้ บทสนทนาจึงขยับไปเรื่องส่วนตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งชีวิตและความรักที่ผ่านมา ที่นอกจากจะทำให้ทั้ง 2 คนได้ระบายความอัดอั้นตันใจในเรื่องความรักออกมาแล้ว ลึกๆ ทั้ง 2 อาจยังใช้บทสนทนาเรื่องส่วนตัวนี้สำรวจโอกาสที่ต่างฝ่ายจะสามารถเข้าไปในใจอีกฝ่ายไปด้วย และในเวลาไม่นานพวกเขาก็ต่างคิดว่าตัวเอง “ตกหลุมรัก” เข้าเสียแล้ว

ถ้าชีวิตในวัยรุ่นคือชีวิตแห่งความฝัน ที่เราเชื่อว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ เชื่อว่าเราจะมีความสุขได้ในแบบเราเอง เชื่อว่าสิ่งที่เราเชื่อจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต “Before Sunrise” ก็เป็นหนังเกี่ยวกับความฝัน ฝันถึงความรักอันสวยงาม ที่เชื่อมั่นว่า ถ้าเราเจอคนที่ใช่ ทุกอย่างมันก็จะใช่เอง นั่นทำให้ “รักแรกพบ” ระหว่างพวกเขาเป็นไปได้ เพราะทั้ง Jesse และ Celine ต่างเป็นคนที่ใช่ของกันและกัน ความฝันถึงเรื่องคนที่ใช่ยังสะท้อนไปถึงการที่ทั้ง 2 ตัดสินใจจะไม่แลกเบอร์ติดต่อกัน ขนาดชื่อยังแทบไม่รู้จักกัน เพราะลึกๆ พวกเขาเชื่อว่า ถ้ามันใช่ อะไรก็ทำอะไรพวกเขาไม่ได้ และพวกเขาจะได้กลับมาเจอกันแน่นอน จะว่าเป็นเรื่องพรหมลิขิตก็ว่าได้ นั่นทำให้ในยุคหนึ่ง Before Sunrise เป็นหนังในดวงใจของวัยรุ่นหลายคน เพราะมันวาดฝันความรักที่สวยงามและแตกต่างให้กับเหล่าวัยรุ่น ตัวละครก็หน้าตาดี เมืองก็สวย โรแมนติกแบบไม่มีตัวขัดขวางอีก แถมยังเป็นคนรักในฝัน คนที่เราพร้อมจะแชร์ทุกอย่างด้วยได้

อย่างไรก็ตาม บางทีในช่วงวัยนั้นเราก็ลืมนึกไปว่า ความฝันแม้จะแตกต่าง แต่มันก็อาจไม่ใช่ความจริง

Before Sunset…ความรัก

ภาคแรกจบลงแบบปลายเปิด เมื่อ Jesse กับ Celine ตกลงกันว่าจะมาเจอกันอีกใน 6 เดือนข้างหน้า แต่แล้วอีก 9 ปีต่อมา “Before Sunset” ก็ได้มาเฉลยว่า 6 เดือนหลังจากนั้นด้วยเหตุผลบางประการ พวกเขาไม่ได้มาพบกัน และเพราะไม่ได้ทิ้งช่องทางติดต่อของกันและกันไว้ ฝ่ายหนึ่งจึงกลายเป็นแค่ความทรงจำของอีกฝ่ายไป จนกระทั่งในปี 2003 ทั้ง Jesse กับ Celine ก็มาเจอกันอีกครั้ง หากแตต่างกับครั้งแรกตรงที่ไม่ใช่เจอด้วยความบังเอิญ หากแต่เป็น Celine ที่ตั้งใจมาเจอ เพราะทราบว่า Jesse ที่ตอนนี้เป็นนักเขียน และนำเรื่องราวของเขาและเธอที่เวียนนามาเป็นแรงบันดาลใจในหนังสือ ได้เดินทางมาโปรโมตหนังสือที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส และพวกเขาเหลือเวลาเพียงชั่วโมงเศษๆ เท่านั้น ที่จะพูดคุยกัน ก่อนที่ Jesse จะต้องไปขึ้นเครื่องกลับ

ภาคนี้ Jesse กับ Celine เติบโตเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ที่กำลังมีทุกอย่างพร้อมทั้งการงานและการเงิน เห็นได้จากลักษณะภายนอกของทั้ง 2 ที่ดูดีมากขึ้น แต่การเติบโตก็ทำให้ทั้ง 2 เข้าใจว่ามีบางสิ่งที่ไม่สามารถเรียกย้อนคืนมาได้นั่นคือ “เวลา” โดยเฉพาะกับ Celine ที่การตัดสินใจไม่ไปตามนัดเมื่อ 9 ปีก่อน กลายเป็นความรู้สึกที่ติดค้างในหัวใจของเธอ ยิ่งหลังจากนั้นทั้งเธอ (และเขา) ต่างก้มีประสบการณ์ความรักที่ไม่ค่อยราบรื่นนัก ยิ่งทำให้ภาพของคนแปลกหน้าที่เวียนนายิ่งแจ่มชัดมากขึ้น เป็นเหมือนเครื่องปลอบใจว่าครั้งหนึ่งเราเคยได้เจอคนที่ดีกว่านี้นะ  การได้กลับมาเจอ Jessie อีกครั้ง จึงเป็นเหมือน “โอกาส” แก้ปมในใจของทั้ง 2 ฝ่าย ที่ไม่ควรปล่อยให้หลุดอีกต่อไป เพราะมันอาจไม่มีโอกาสหวนกลับมาอีก ความรักใน Before Sunrise มันจึงเป็นความรักทีเต็มไปด้วยความโหยหา การแสดงออกถึงความต้องการอีกฝ่ายอย่างชัดแจ้ง ไม่ได้ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นเรื่องของพรหมลิขิตอย่างใน Before Sunset

เพราะแก่นหลักคือความโหยหาต่อกันและกัน บทสนทนาของ Jessie กับ Celine จึงไม่ค่อยฟุ้งไปกับเรื่องไกลตัว แต่เน้นเจาะไปที่การรำลึกความหลังเมื่อปี 93 เพื่อบอกเป็นนัยให้อีกฝ่ายรู้ว่า นั่นคือช่วงเวลาที่ดีสุดในชีวิตนะ ที่เขาหรือเธอจะไม่มีวันลืม และเมื่อยิ่งบทสนทนาเจาะลึกไปถึงชีวิตส่วนตัวของแต่ละคนหลังจากปี 93 ที่ไร้ซึ่งความสุขมากเท่าไหร่ โดยเฉพาะในเรื่องชีวิตคู่ที่ไม่ราบรื่นของแต่ละกัน ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า คนที่พวกเขารักและอยากใช้ชีวิตร่วมกันมากที่สุดก็คือ คนที่พวกเขาเคยเจอที่เวียนนาคนนี้ต่างหาก และมันก็ถึงช่วงเวลาที่พวกเขาต้องตัดสินใจเลือก จะเลือกคว้าโอกาสครั้งนี้ไว้ หรือปล่อยมันไป และมันยิ่งตัดสินใจยากขึ้น เพราะพวกเขาไม่ได้อิสระแบบตอนวัยรุ่นแล้ว แตต่างฝ่ายต่างก็มีเจ้าของอยู่แล้ว โดยเฉพาะ Jessie ที่ถึงขั้นแต่งงานและมีลูกแล้ว และมันไม่ใช่แค่ว่าตัดสินใจไปก่อน ไม่ชอบก็เปลี่ยนใหม่ เพราะในช่วงวัยนี้มันคือวัยแห่งการเริ่มสร้างครอบครัว เมื่อตัดสินใจเลือกใคร นั่นแปลว่าเราพร้อมจะผูกมัดกับเขาแล้ว ความรู้สึกทั้งความรัก ความรู้สึกผิด ความกระอักกระอ่วนใจ จึงผสมปนเปกันอยู่ในภาคนี้ ยิ่งหนังพยายามบีบให้ช่วงการสนทนาในภาคนี้มีแค่ชั่วโมงกว่าๆ ซึ่งสั้นกว่าภาคอื่นที่มักจะข้ามคืนกัน ก็ยังทำให้ความสัมสนทางอารมณ์ยิ่งเด่นชัดมากขึ้น

ประเด็นที่น่าคิดคือ การตัดสินใจองทั้ง Jesse กับ Celine นั้น จะอยู่บนพื้นฐานของความต่ออีกฝ่าย หรือการแค่อยากหลีกหนีจากปัญหาชีวิตคู่ของตัวเองที่ไม่มีความสุขเท่านั้น

Before Midnight…ความจริง

เช่นเดียวกับภาคแรก ภาคสองก็จบแบบปลายเปิด และอีก 9 ปีต่อมา “Before Midnight” ก็มาเฉลยว่า ในวันนั้น Jesse ตกเครื่อง เพราะตัดสินใจที่อยู่กับ Celine ต่อ การตัดสินใจครั้งนี้นำไปสู่การหย่ากับภรรยา และมาใช้ชีวิตร่วมกับ Celine โดยมีลูกแฝดด้วยกัน 2 คน เรื่องราวเหมือนจะจบอย่างสมหวังแต่ไม่ใช่เลย เพราะในปี 2013 ขณะพาลูกๆ มาพักร้อนที่กรีก ตามคำชวนของเพื่อนนักเขียนของ Jesse พวกเขาได้โอกาสพูดจาเปิดอกกันอย่างจริงๆ จังๆ อีกครั้ง แม้ว่าจะใช้ชีวิตร่วมกันมาหลายปี แต่สิ่งที่อยู่ในบทสทนาของทั้ง 2 คน กลับเป็นการโต้เถียง และการแสดงอาการผิดหวังในอีกฝ่าย ไร้ซึ่งความรักและโรแมนติกแบบที่ในภาคก่อนๆ

Jesse กับ Celine ในวัยกลางคนประมาณ 40 ไม่ได้ต่างอะไรกับครอบครัวอื่น ที่โดนชีวิตครอบครัวกัดกินชีวิตคู่จนลืมคำว่ารักไปแล้ว แม้แต่สภาพร่างกายก็ดูปล่อยให้ไปตามยถากรรม คู่รักส่วนใหญ่เมื่อแต่งงานกันต่างคาดหวังว่าตัวเองจะรักกันชั่วนิรันดร แต่ชีวิตไม่ได้มีเฉพาะพวกเขา เมื่อพวกเขามีลูก สิ่งที่ตามมาคือความรับผิดชอบ ทั้งการเลี้ยงดูลูก และการหารายได้มาจุนเจือครอบครัว สิ่งเหล่านี้กินพลังและก่อเป็นกำแพงในใจของทั้ง 2 ฝ่ายโดยไม่รู้ตัว ยิ่ง Jesse เองก็รู้สึกผิดที่ต้องอยู่ห่างจากลูกชายที่เกิดจากภรรยาเก่า ขณะที่ Celine ลึกๆ ก็มีความรู้สึกผิดจากการคิดว่าตัวเองทำให้ชีวิตคู่ของ Jessie ต้องแตกแยก ต่างฝ่ายต่างคิดว่าตัวเองเสียสละ มันทำให้ความรักที่วาดฝันไว้เมื่อก่อนเหือดหายไปแล้ว เหลือแต่ความจริงที่เจ็บปวดของชีวิตคู่

ในช่วงต้นของ Before Midnight ได้ทำในสิ่งที่ภาคอื่นไม่ทำกัน คือการพา Jesse และ Celine ไปสนทนากับคนอื่น หรือไม่ก็มีบุคคลอื่นอยู่ในวงสนทนาด้วยตลอด เพื่อให้เห็นว่าพวกเขาขาดการคุยแบบเป็นส่วนตัวมานานแล้ว ยิ่งเมื่อในฉากหนึ่งเพื่อนร่วมวงสนทนาบนโต๊ะอาหารต่างพูดถึงความรักนิรันดร์ที่ไม่มีจริง เราแค่ผ่านมาเจอกัน ไม่ใช่เกิดมาคู่กัน ทั้ง Jessie และ Celine ต่างรู้สึกไม่เห็นด้วย เพราะพวกเขาเริ่มต้นความรักของพวกเขาด้วยการเชื่อมั่นในเรื่องคนที่ใช่นี่แหละ แต่ทั้ง 2 ก็ไม่สามารถจะโต้เถียงอะไรได้ เพราะชีวิตรักของพวกเขาก็กำลังสั่นคลอนเหมือนกัน ซึ่งมันก็ไปสนับสนุนความคิดที่ว่า ความรักแบบพรหมลิขิต อยู่อย่างมีความสุขตลอดชาติมันไม่จริง

บทสนทนาของ Jesse และ Celine ในภาคนี้เต็มไปด้วยเรื่องการงานหรือลูกๆ ที่ก็โยงไปถึงเรื่องภาระความรับผิดชอบในครอบครัว มีเพียงแค่ช่วงเดียวเท่านั้นทั้ง 2 สามารถหลุดจากเรื่องนี้ไปคุยเรื่องชีวิตคู่ในอดีตหรือเรื่องอื่นๆ ได้ แต่ไม่นานนักก็วกกลับเข้ามาที่เรื่องครอบครัวอยู่ดี คำถามจากที่เน้นปลายเปิดในภาคก่อนๆ มาภาคนี้ส่วนใหญ่ดันเป็นคำถามที่บังคับให้ตอบ ซึ่งสะท้อนของอาการไม่เชื่อใจกันมากยิ่งขึ้น ยิ่งพวกเขาทั้ง 2 คาดหวังความรักในช่วงก่อนอยู่ด้วยกันไว้มากเท่าไหร่ พอเจอของจริงที่ไม่เป้นไปตามหวังเข้าไปก็ยิ่งรู้สึกรับไม่ได้มากเท่านั้น รอวันที่จะระเบิดออกมา เราจึงได้เห็น Celine ในภาคนี้กลายเป็นมนุษย์ป้าชี้เหวี่ยงไป ขณะที่ Jesse ก็กลายเป็นผู้ชายที่ดูไม่น่าจะฝากชีวิตไว้สักเท่าไหร่ไป พวกเขากลายเป็นคนที่พวกเขาพยายามหลีกเลี่ยงจะเป็น

อะไรคือสาเหตุของความล้มเหลวนี้ เพราะพรหมลิขิตไม่มีจริง รักแรกพบเป็นเรื่องหลอกลวง หรือเอาเข้าจริงอาจต้องย้อนไปในตอน Sunrise เมื่อตอนแรกรักกัน พวกเขาแค่เหงาและเสียใจจากความผัดหวังจากความรักครั้งก่อนหรือเปล่า และอยู่ในช่วงต้องการใครสักคนมาคุยกันพอดี บรรยากาศของเวียนนาก็ช่างชวนให้เป็นใจเหลือเกิน จึงหลงคิดกันไปเองว่าพวกเขารักกัน รักแรกพบอาจมีจริง แต่รักแรกพบที่เริ่มต้นจากความเหงามันไม่ก็ไม่มั่นคง และมันก็สะท้อนอย่างชัดเจนใน Midnight

สำหรับบางคนนั้น เราก็เหมาะจะเป็นแค่เพื่อนที่รู้ใจ ไม่ใช่คนรักที่จะใช้ชีวิตร่วมกันไปตลอด

ไม่แน่ใจว่า Richard Linklater จะยังทำภาค 4 ต่อหรือไม่ แต่ในปี 2022 เราก็ยังอยากตามดูชีวิตของ Jessie กับ Celine ต่อนะ มันน่าสนใจตรงที่ว่าภาคต่อไป (คิดไว้เล่นๆ ว่าน่าจะชื่อ Before Midday) มุมมองความรักของพวกเขาจะเป็นอย่างไร ในวัยที่ลูกๆ พวกเขากำลังเป็นวัยรุ่นและอาจจะเริ่มมีชีวิตใกล้เคียงกับพวกเขาแบบในตอน Sunrise

ความชอบส่วนตัว:

Before Sunrise 8/10

Before Sunset: 8/10

Before Midnight: 8/10

แต่พอรวมกันเป็นไตรภาค Before Trilogy 10/10

Avatar photo
Latest posts by จุรีพร โนนจุ่น (see all)