[Criticism] Star Wars: The Force Awakens – กลับมาอย่าง Strong แต่ Legend มั้ย…ไม่แน่ใจ (Spoil Ver.)

บทวิจารณ์นี้จะ Spoil Star Wars: The Force Awakens แบบไม่เกรงใจ ดังนั้น หากใครกังวลว่าอาจทำให้เกิดเสียอรรถรสในการรับชม สามารถเลือกอย่าง Review ฉบับไม่ Spoil ที่เขียนไว้ก่อนหน้านี้แทนเลยครับ แต่ถ้าไม่กังวลหรือดูมาแล้ว ก็ลุยกันเลยครับ

อย่างที่ว่าไว้ใน Review ฉบับไม่ Spoil ความรู้สึกส่วนตัวต่อ Star Wars ภาคนี้ คือเป็นการกลับมาอย่าง Strong สำหรับคนที่ไม่ใช่แฟนหนังชุดนี้ก็สามารถสนุกได้ เพราะหนังแก้ไขจุดอ่อนของภาคก่อนๆ ด้วยการเดินเรื่องที่กระชับมากขึ้น ขณะที่แฟน Star Wars ก็จะเพลิดเพลินไปกับ Fan Service ความทรงจำเก่าๆ จากภาคก่อนที่ภาคนี้จัดหนักให้หายคิดถึงกัน อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาของเก่ามากเกินไป ทำให้ภาคนี้ดูเหมือนจะขาดความเป็นเอกลักษณ์ในแบบตัวเอง ส่งผลให้แม้จะเป็นภาครู้สึกว่าสนุก แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นเป็นตำนานขนาดนั้น

เนื้อหาของ The Force Awakens เลือกเล่าเรื่องราวในอีก 30 ปีให้หลัง จากยุคของ “Luke Skywalker” (Mark Hamill) ในภาค 4-6 โดยเหตุการณ์ระหว่างภาคเล่าผ่านอารัมภบทตัวหนังเสือสีเหลืองอันเป็นเอกลักษณ์ว่า แม้ Luke จะสามารถกำจัด Palpatine ได้แล้ว แต่ฝ่ายสาธารณรัฐของ Luke ก็ยังไม่สามาถเอาชนะฝ่ายจักรวรรดิได้อย่างเด็ดขาด กลุ่ม “ปฐมภาคี” (First Order) ได้ก่อตั้งขึ้นและรับช่วงต่อฝ่ายจักรวรรดิ ภายใต้การนำของผู้นำลึกลับ “Snoke” และผู้ช่วยคนสำคัญ “Kylo Ren” (Adam Driver) ผู้มีพลัง Force และใช้ Lightsaber สีแดง 3 แฉก โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการกำจัดเจไดคนสุดท้ายอย่าง “Luke Skywalker” ที่ตอนนี้หายตัวไปด้วยเหตุผลบางอย่าง ขณะเดียวกัน “Leia Organa” (Carrie Fisher) น้องสาวฝาแฝดของ Luke ที่ตอนนี้เป็นผู้บัญชาการของฝ่ายสาธารณรัฐ ก็ต้องส่ง “Poe” (Oscar Isaac) นักบินสาธารณรัฐออกตามหาเช่นกัน ดังนั้น ประเด็นหลักของภาคนี้ จึงการออกตามหาลุคของทั้งฝ่ายสาธารณัฐและปฐมภาคี ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน โดยมีตัวแปรสำคัญคือ “Rey” (Daisy Ridley) หญิงสาวบนดาวห่างไกล ที่มีพลัง Force ซ่อนอยู่ กับ “Finn” (John Boyega) อดีต Stormtrooper (ทหารฝ่ายปฐมภาคี) กลับใจ เป็นตัวแปรสำคัญ

จากเนื้อเรื่องข้างต้น สำหรับใครที่อ่าน Comic หรือเล่นเกมของ Star Wars ที่เป็นเรื่องราวใน Episode 7-9 ที่เคยออกมาแล้วหลายปี ขอให้ลืมมันไปทั้งหมด เพราะฉบับหนังไม่ได้ใช้เนื้อหาจากส่วนนั้นเลย (ยกเว้นชื่อตัวละครบางคน) แต่เลือกที่จะเขียนเรื่องใหม่ขึ้นเอง ซึ่งใครที่เคยดู “A New Hope” มาจะรู้สึกได้เลยว่าเรื่องใหม่นี้ก็แทบจะเดินตามรอยกันมาเลย เพียงแต่แทนที่บทของ Luke ด้วยบทของ Ren ขณะที่ Han Solo ถูกแทนที่ด้วย Finn ส่วนที่เหลือไม่ว่าจะเป็นเส้นเรื่อง แรงจูงใจ ไปถึงฉากบางฉากก็เอามาจาก A New Hope (รวมถึง Empire Strikes Back ด้วย) แต่เพราะเอามาแล้ว ทำให้เข้ากับยุคสมัยได้ดี โดยเฉพาะการเดินเรื่องที่กระชับและดูลุ้นไปกับตัวละครมากขึ้น ทำให้เราจะเรียกการเดินตามรอยเดิมแบบนี้ว่า “การคารวะ” ของเก่าแล้วกัน

ในส่วนของตัวละครจากไตรภาคเก่านั้น ในภาคนี้เลือกเน้นไปที่ “Han Solo” (Harrison Ford) ผู้ซึ่งเป็นเหมือนไอคอนของหนังชุดนี้ (ทั้งที่ๆ จริงแกเป็นพระรองของไตรภาคเก่านะ) แน่นอนสำหรับแฟนพันธุ์แท้ การได้เห็น Han ออกมาโลดเล่นอีกครั้ง พร้อมด้วย “Chewbacca” ลูกน้อง/สมุน/สัตว์เลี้ยง คู่ใจในยานลำเดิม คืออะไรที่เติมเต็มความทรงจำวัยเด็กอย่างมาก แต่ถ้าลองให้ Han Solo เป็นตัวละครใหม่ในภาคนี้ละ แบบอยู่ๆ เพิ่งโผล่มา น่าสงสัยว่าเราจะอินกับบทของเขาในเรื่องสักแค่ไหนกัน

หนังพยายามผูกความดราม่าระหว่าง Han Solo กับ Kylo Ren ที่เปิดเผยตั้งแต่กลางเรื่องว่าตัวจริงของ Kylo Ren ก็คือ “Ben” ลูกชายของ Han และ Leia นั่นเอง แถมยังเป็นลูกศิษย์ของ Luke ด้วย แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้ Ben ตัดสินใจเข้าสู่ด้านมืด และความผิดหวังที่ไม่สามารถสอนลูกศิษย์ให้ได้ดีได้ทำให้ Luke ตัดสินใจหายตัวไป ตัว Han เองก็ตัดสินใจแยกกับอยู่กับ Leia เพราะมันยิ่งตอกย้ำความรู้สึกผิดที่ทำให้ลูกต้องเป็นเช่นนี้ การเจอหน้ากันของ Han และ Ben จึงเป็นดราม่าครอบครัว ที่พ่อต้องการพาลูกกลับบ้าน แต่ลูกเองก็ต้องการเป็นอิสระ โดยเฉพาะจากการถูกกดดันในฐานะที่เขาคือทายาทของ Skywalker ดราม่าครอบครัวนี้ (ที่นำเสนอในลักษณะคล้ายๆ ฉาก I’m Your Father ใน Empire Strikes Back) จบลงด้วยการตายของ “Han Solo”….ใช้แล้วนี่แหละคือ Spoil จุดที่ยิ่งใหญ่ของเรื่อง ที่ตอนนี้ใครๆ ก็หวาดกลัวกัน (จนบางทีรู้สึกว่ากลัวกันเกินเหตุไปมั้ย)

การตายของ Han Solo น่าจะช็อคความรู้สึกคนดูไม่น้อย แต่ผิดคาดที่มันไม่ช็อคเท่าที่คิด แม้กระทั่งคนที่ไม่รู้ Spoil ก็ตาม มันให้ความรู้สึกเหมือน “อืม…ถึงเวลาแล้วสินะ” มากกว่าจะเป็น “ไม่นะ!!!” จุดสำคัญอาจเพราะหนังไม่ได้ปูพื้น ไม่ย้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่าง Han กับ Ben ให้เห็นก่อนเลย และการเฉลยตัวจริงของ Kylo Ren ก็อาจดูเร็วเกินไป จนคนดูไม่เซอร์ไพรส์นักกับการเรียกหาลูกของ Han ในช่วงเผชิญหน้าท้ายเรื่อง อีกอย่างหนังยังไม่ทำให้เห็นว่า การตายของ Han มัน Impact ไปยังคนอื่นยังไง อย่าง Ben ก็ไม่เห็นว่าจะบรรลุด้านมืดเพิ่มเติมขึ้น (หรืออาจต้องรอภาคหน้า?) ขณะที่ตัว Rey ซึ่งบทเหมือนจะปูมาให้ยึดถือ Han เป็นเหมือน Hero หรือพ่อที่เธอไม่เคยเจอ ก็ไม่ได้มาระเบิดพลัง Force เพราะการตายของ Han แต่ดูเหมือนจะดึง Force มาใช้ได้เพราะเพื่อนอย่าง Finn โดนทำร้ายต่างหาก การตายของ Han จึงสูญเสียพลังในการเป็นไคลแมกซ์ของเรื่องไปพอควร แต่มันก็เป็นฉากที่ดูสะเทือนใจอยู่ เมื่อคำนึงว่า Han คือหนึ่งในตัวละครสำคัญของหนังชุดนี้ และจะทำให้หลังจากนี้การกลับไปดูไตรภาค 4-6 จะให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

จากตัว Han ว่ากันที่ตัว Kylo Ren ตัวร้ายหลักของภาค (แต่ยังไม่ใช่บอสใหญ่สุด) หนังพยายามสร้าง Kylo Ren ให้เป็นเหมือน “Darth Vader” V.2 ซึ่งต้องขอชมว่า เป็นตัวร้ายที่ออกแบบได้อย่างเยี่ยมยอดมาก ทั้งหน้ากาก ชุด ไปยัน Lightsaber 3 แฉก ทำให้ดูน่าเกรงขาม ลึกลับ และน่ากลัวไปพร้อมๆ กัน จนกระทั่ง…เมื่อถอดหน้ากาก

บางส่วนอาจผิดหวังที่ทายาท Han Solo ไม่หล่ออย่างที่คิด แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเท่าไหร่ ตรงกันข้ามส่วนตัวกลับรู้สึกว่า “Adam Driver” ดูดีมากในบทนี้ อาจเพราะด้วยร่างสูงใหญ่และทรงผมของเขา แต่ปัญหาคือ คาแรกเตอร์ขณะเป็น Ben กับเป็น Kylo Ren ช่างดูแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจนเหมือนไม่ใช่คนเดียวกัน ขณะที่ Kylo Ren ดูมีความน่าเกรงขามและน่ากลัวอยู่ Ben กลับกลายเป็นแค่เด็กที่ถูกสปอยล์จนกลายเป็นเด็กมีปัญหา ต้องการต่อต้านพ่อแม่แทน และเนื่องจากหนังไม่โชว์ความสัมพันธ์ในครอบครัวที่กดดันให้ Ben เป็นแบบนี้นัก เราจึงรู้สึกว่าเขา “อ่อนแอ” มากกว่าจะเห็นใจในชะตากรรมของเขา และความอ่อนแอนี่เองไปกลบภาพลักษณ์ของ Kylo Ren ที่ปูมาตั้งแต่แรกไปหมด แถมยังไปแพ้คนที่เพิ่งใช้ Force อย่าง Rey อีก (แต่ตรงนี้ก็อาจแก้ได้ว่าเพราะตอนสู้ Ben บาดเจ็บอยู่ และ Rey เองก็เหมือนจะเคยฝึก Force มาก่อนแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ใช้มานาน) อย่างไรก็ตาม มองในแง่ดีคือ ช่วงเวลาที่ขาดหายไปของ Ben อาจถูกนำไปเล่าต่อในภาคต่อๆ ไปเพื่ออธิบายว่า Ben เข้าสู่ด้านมืดได้อย่างไร ซึ่งนั่นจะทำให้หนังสามารถนำ Harrison Ford กลับมาในหนังได้ด้วย ในรูปแบบ Flashback

ไปที่ 2 ตัวละครใหม่อย่าง “Rey” และ “Finn” มาก ต้องชื่นชมเลยว่าหนังสร้างคาแรกเตอร์ 2 ตัวละครนี้ได้อย่างน่าสนใจ และนักแสดงที่มารับบทก็เข้ากับตัวละครได้ดีมาก ตัวหนังให้ความสำคัญกับ 2 คนนี้พอควร โดยเฉพาะ Rey ที่ (คิดว่า) น่าจะรับบทเป็นตัวเอกของไตรภาคนี้ ก็ทำให้ทุกคนประทับใจในความแกร่งตามสไตล์ “พลังหญิง” ของ Hollywood ปัจจุบัน ชีวิตของ Rey เองก็ดูลึกลับ จากการค้นพบว่าตัวเองมีพลัง Force อยู่ การที่ Lightsaber ของ Luke เจาะจงเลือก Rey เป็นเจ้าของ รวมถึงชาติกำเนิดที่คลุมเครือ ที่อาจปูทางไปว่าเธอจะเป็น Jedi คนต่อไป รวมถึงอาจเป็นเชื้อสายตระกูล Skywalker ด้วย (เพราะสุดท้ายแล้ว Star Wars ก็คือชีวประวัติตระกูล Skywalker) ที่เสียดายคือ อาวุธกระบองยาวของ Rey ที่เท่มาก แต่เหมือนไม่ได้โชว์เท่าไหร่เลย และอีกอย่างคือในขณะที่ Rey บ่นคิดถึงบ้านที่ดาว Jakku อยู่ตลอดเวลา หนังกลับไม่ค่อยทำให้รู้สึกเลยว่าทำไม Rey จึงผูกพันกับดาวนี้ขนาดนั้น

ขณะที่ตัว “Finn” นั้นเป็นการสร้างตัวละครที่น่าสนใจมาก เพราะเป็นฝ่ายร้ายที่กลับใจมาเป็นฝ่ายดี และยังเป็นตัวแทนคนธรรมดาที่กลายมาเป็นคนสำคัญ นักแสดงผู้รับบทนี้อย่าง John Boyega ก็ไปได้ดีกับบทนี้ โดยเฉพาะช่วงปล่อยมุข ที่มีมาให้ฮาเป็นระยะๆ หน้าตาตื่นกลัวอยู่ตลอดเวลาของเขา กลับส่งผลดีที่ทำให้เรามีอารมณ์ร่วมไปกับตัว Finn ที่ต้องการหนีจากวิถีชีวิตแบบเดิมมากขึ้น อย่างไรก็ตาม จุดที่ขาดหายไปคือ Finn ดูเปลี่ยนฝ่ายง่ายเกินไป หนังอธิบายว่าการที่ Finn เปลี่ยนฝ่ายเกิดจากความรู้สึกผิดที่ต้องฆ่าคนอื่น แต่ทำไม Finn ถึงรู้สึกเช่นนั้นละ ทั้งที่ Finn ก็ถูกฝึกมาเหมือน Stormtrooper คนอื่นๆ แต่ทำไมมีแค่ Finn คนเดียวที่รู้สึกเช่นนั้น

เรื่องความ “ง่าย” เกินไป นี่ปรากฎให้เห็นอยู่ตลอดใน The Force Awakens โดยเฉพาะในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร ที่ดูง่ายไปหมด Poe เชื่อใจ Finn แบบง่ายๆ ให้พาหนี ขณะที่ Rey กับ Finn ก็ดูสนิทกันง่ายๆ แถมยังเหมือนจะแอบชอบกันอีก…เฮ้ย เร็วไปมั้ย เหมือนพยายามเคมีจับยัดแต่ไม่เข้ากัน ภารกิจก็ทำลาย Death Star ดวงใหม่กันแบบง่ายๆ หัวหน้า Stromtrooper ยอมทำตามคำขู่ของ Finn แบบง่ายๆ ทำให้ฝ่ายปฐมภาคีแพ้กันแบบง่ายๆ ตัว Rey กับ Finn เองก็ใช้ Lightsaber กันแบบง่ายๆ ตัว Rey ไม่เท่าไหร่ เพราะเหมือนจะปูมาว่าน่าจะเคยมีพลังอยู่แล้ว แต่ Finn นี่ใช้คล่องมากเลย ไหนตอนแรกยังกลัวการใช้อาวุธสู้กับคนอื่นอยู่เลยไง

อีกอย่างภาคนี้เน้นที่ตัวละคร ไม่เน้นที่ดาว เราจึงไม่ค่อยได้เห็นระบบนิเวศของดาวต่างๆ ที่แปลกๆ เสริมจินตนาการเท่าไหร่ ตัวละครหลักๆ ก็เน้นไปที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ มีเอเลี่ยนหน้าตาแปลกๆ แต่ก็แค่ตัวรอง เลยทำให้อาจดูไม่หลากหลายนัก การตัดส่วนนี้ไป ทำให้หนังลดความเป็นมหากาพย์ลง แต่ก็กระชับเกาะติดตัวละครมากขึ้น ซึ่งทำให้ส่วนตัวรู้สึกดูสนุกขึ้นกว่าภาคก่อนๆ แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นกลายเป็นตำนานก็ตาม

โดยรวม “Star Wars: The Force Awakens” เป็นหนังที่ดูสนุก เป็นนิยายกำลังภายในที่ใช้ฉากหลังเป็นอวกาส และถือเป็นการเปิดไตรภาคใหม่ได้อย่างน่าสนใจ มีการทิ้งปริศนาให้เราตามต่อในภาคหน้า แต่กระนั้น The Force Awakens ก็ไม่ใช่หนังที่สมบูรณ์นัก ถ้าลองสังเกตก็จะพบความไม่สมเหตุสมผล การเลือกตัดช่องน้อยแต่พอตัวอยู่จำนวนมาก เพียงแต่ตัวหนังเองก็ชาญฉลาดด้วยการถมความไม่สมบูรณ์นี้ด้วยภาพการ “คารวะ” ของเก่า ทำให้เรามองข้ามตรงนั้นไป และดื่มด่ำกลับการกลับมาอย่าง Strong แทน ต้องขอบคุณไตรภาค 1-3 ที่ทำออกมาไม่ประทับใจด้วย ที่ช่วยส่งเสริมให้กลับมาครั้งนี้ยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้น แต่ก็น่าคิดว่าภาคต่อไป หนังจะสามารถสร้างเอกลักษณ์ในแบบตัวเองได้หรือไม่ หรือยังคงหากินกับการคารวะของเก่าต่อไป มันคงตลกดีถ้าภาคต่อไปจะมีบทสนทนานี้

Ben: If you only knew the power of the Dark Side. Luke never told you what happened to your brother.
Rey: He told me enough! He told me you killed him!
Ben: No. I am your brother.
Rey: No! No!

Avatar photo
Latest posts by จุรีพร โนนจุ่น (see all)