[Criticism] Your Name. – ในการรอคอยมักมี “ความเหงา” ซ่อนอยู่เสมอ (Spoil)

 

-1-

 
ในยุคที่คนบางส่วนคิดว่า “อนิเมะ” (Anime) คือ “ของฟรี” ที่สามารถหาดูได้ตามอินเทอร์เน็ตทั่วไป การที่หนังอนิเมะเรื่องหนึ่งอย่าง “Your Name.” ซึ่งไม่ได้มีที่มาจากมังงะหรือช่อง 9 การ์ตูน จะสามารถสร้างกระแสเรียกความสนใจให้คนไทยอยากไปดูได้ขนาดนี้ ก็คงไม่ใช่เรื่องปกตินัก ซึ่งกระแสที่ว่านี้อาจเป็นผลมาจากการที่หนังสามารถครองอันดับ 1 ใน Box Office ญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน จนเกิดอาการอยากพิสูจน์ว่ามีดีอะไร ในไทยเองถ้าจำไม่ผิดใน Pantip ก็มีการตั้งกระทู้อยากดูและรายงาน Box Office ที่ช่วยปลุกกระแสอยากดู Your Name. ในไทยมาสักพักแล้ว เมื่อรวมกับแนวเรื่องที่เกี่ยวกับความรัก ฐานแฟนคลับกลุ่มคนที่ชื่นชอบผลงานของ อ.มาโกโตะ ชินไค กระแสปากต่อปาก รวมถึงช่วงเวลาเข้าฉายในไทย ที่หนัง Hollywood ไม่แข็งมากนัก (Inferno) ทำให้ Your Name. เป็นปรากฎการณ์ได้ขนาดนี้

โดยส่วนตัวแล้ว อยู่ในกลุ่มอยากดู Your Name. เพื่ออยากพิสูจน์ว่าเพราะอะไรหนังจึงประสบความสำเร็จในญี่ปุ่นขนาดนี้ การเป็นผลงานล่าสุดของ อ.ชินไค ไม่ใช่เหตุผลเท่าไหร่ เพราะไม่เคยดูผลงานก่อนหน้านั้นของ อ.เลย 555 ขณะที่ในส่วนเนื้อเรื่อง ตามที่เปิดเผยใน Trailer นั้นก็ค่อนข้างเฉยๆ เพราะทำให้คิดว่าคงเป็นหนังที่เล่นเรื่องการสลับร่าง หวานมัน ฉันคือเธออีกเรื่องหนึ่งเท่านั้น ซึ่งพอได้ดูจริงๆ แล้ว จะพบว่า คงเป็นความตั้งใจของหนังที่จะชูเรื่องการสลับร่างมาเป็นจุดขาย เพื่อปิดซ่อน Plot หลักจริงๆ ของเรื่อง นั่นทำให้การไม่อ่าน Spoil มาก่อน จะทำให้เรารู้สึก Surprise กับเรื่องนี้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม บทวิเคราะห์ฉบับนี้ คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่ Spoil เนื้อเรื่องสำคัญ ดังนั้น ใครที่ยังไม่ได้ดู อาจข้ามไปก็ได้นะครับ แต่ถ้าดูแล้วหรือไม่กลัว Spoil ก็ถือว่าเรามาแลกเปลี่ยนสิ่งที่ Your Name. พยายามสื่อสารกับเราด้วยกันครับ

-2-

 
“Your Name.” หรือชื่อญี่ปุ่น “Kimi no Na wa” (น่าแปลกที่ดูเหมือนเราจะนิยมเรียกสื่อจากญี่ปุ่น ด้วยชื่อญี่ปุ่นมากกว่าชื่ออังกฤษ) เปิดเรื่องด้วย Plot การสลับร่างที่คุ้นเคย เมื่อ “มิตสึฮะ” เด็กสาว ม.ปลาย จากชนบทญี่ปุ่น สลับร่างกับ “ทาคิ” เด็กหนุ่มวัยเดียวกัน ที่อาศัยในโตเกียว จากเดิมที่คิดว่าเป็นแค่ความฝัน ไม่นานทั้ง 2 ก็รู้่าสลับร่างกันจริงๆ โดยที่การสลับร่างนั้นไม่แน่นอน และยังไม่รู้สาเหตุอย่างชัดเจน จนกระทั่งวันหนึ่งการสลับร่างของทั้ง 2 อยู่ๆ ก็หยุดลง “ทาคิ” จึงเริ่มออกตามหา “มิตสึฮะ” โดยอาศัยภาพความทรงจำขณะที่เขาอยู่ในร่างมิตสึฮะ แต่การออกตามหาครั้งนี้กลับทำให้เขาพบ “ความจริง” บางอย่างที่คาดไม่ถึง

สิ่งที่ทาคิพบคือ มิตสึฮะที่เขารู้จักไม่ได้อยู่ใน Timeline เดียวกันกับเขา แต่เป็นช่วงเวลาเมื่อ 3 ปีก่อน นี่จึงไม่ใช่แค่การสลับร่างธรรมดา แต่เป็นการสลับร่างที่มาพร้อมกับการเดินทางข้ามเวลาด้วย และยิ่งเมื่อเขาพบความจริงที่เกิดขึ้นกับมิตสึฮะและเมืองของเธอเท่าไหร่ ทาคิกลับยิ่ง “ลืม” ความทรงจำระหว่างเขากับมิตสึฮะมากเท่านั้น กระทั่ง “ชื่อ” ก็จำไม่ได้แล้ว นั่นจึงเป็นที่มาของชื่อหนังเรื่องนี้

กระนั้น เรื่อง “ชื่อ” จำได้หรือไม่ได้นี่ไม่ใช่ประเด็นหลักของเรื่อง แต่แก่นหลักจริงๆ คือการถ่ายทอดสายสัมพันธ์ความผูกพันระหว่างคน 2 คน ที่ระยะทางไม่ได้เป็นเพียงแค่อุปสรรคเท่านั้น แต่ยังรวมถึง “เวลา” ที่แยกทั้ง 2 คนออกจากกันด้วย Your Name หยิบจับเอาองค์ประกอบการเล่นเกี่ยวกับเวลาที่เราคุ้นเคยไม่ว่าจะใน Il Mare, The Butterfly Effect, The Time Traveller’s Wife หรือ About Time มาผสมกับแนวคิดเรื่อง “เนื้อคู่” หรือความเชื่อเรื่อง “ด้ายแดง” ของญี่ปุ่น ที่เชื่อว่า เรามีเนื้อคู่ของกันและกันอยู่ ซึ่งผูกกันไว้ด้วยกันด้วยด้ายแดงที่มองไม่เห็น นอกจากนี้ ยังชวนให้นึกไปถึง Inception ไปได้อีกด้วย เพราะสิ่งหนึ่งที่ Your Name. หยิบเอามาเล่นคือ ความรู้สึกว่าเหมือนกำลังฝัน ขณะกำลังสลับร่าง และความทรงจำที่หลงเหลืออยู่เราตื่นขึ้นมา ที่ในหนังก็คือความทรงจำที่เหลือเมื่อไม่สลับร่างแล้ว

ในเชิงเนื้อหาแล้ว Your Name. จึงอาจไม่ใช่หนังที่มีความสดใหม่มากนัก เพราะเราจะเห็นการหยิบเอาส่วนนั้นส่วนนี้จากหนังเรื่องต่างๆ มาเข้าไว้ด้วยกันเต็มไปหมด แต่ความเยี่ยมยอดของ Your Name. คือการหยิบจับเอาสิ่งเหล่านั้นมาผสมกันได้อย่างลงตัว และไม่มีส่วนไหนที่รู้สึกว่าเป็นส่วนเกิน เพราะทุกองค์ประกอบล้วนทำหน้าที่ในการสื่อสารแกนหลักของเรื่อง “ความเชื่อว่าเรามีคนที่คู่กับเราอยู่” ได้เป็นอย่างดี ความลงตัวนี้ยังรวมไปถึงการเลือกใช้เพลง การตัดต่อ การลำดับเรื่องราว มุมมองการเล่าเรื่อง ที่ทุกอย่างล้วนมี “ความหมาย” ด้วยกันทั้งสิ้น

-3-

 
สังคมญี่ปุ่นเป็นสังคมที่เชื่อว่ามีเทพเจ้าสิงสถิตอยู่ในทุกที่ และใน Your Name. คุณยายของมิตสึฮะก็มีการเอ่ยถึงเรื่อง “มุซึบิ” ที่มีลักษณะเป็นพลังอำนาจของเทพเจ้า ที่ผูกสิ่งต่างๆ เข้าไว้ด้วยกันเกิดเป็นสายใยความสัมพันธ์ ไม่ต่างอะไรจาก “เส้นเชือก” ในหนังเราจึงได้เห็นว่ามีการใช้ เชือกเป็นสัญลักษณ์ที่แทนความสัมพันธ์ของทาคิกับมิตสึฮะ ใน Timeline ของมิตสึฮะ ในวันก่อนที่อุกกาบาตจะตกใส่เมือง เธอได้เดินทางไปหาทาคิ แม้จะพบว่า ทาคิในตอนนั้นจะยังไม่รู้จักเธอ แต่มิตสึฮะก็ได้มอบเชือกมัดผมสีแดงไว้กับเขา โดยที่ไม่รู้ว่า เชือกนั้นเป็นสายใยที่ทำให้ต่อมาทาคิได้่มีโอกาสกลับมาช่วยมิตสึฮะและหมู่บ้านของเธอ และเมื่อทาคิมอบเชือกมัดผมให้กับมิตสึฮะอีกครั้ง มันก็กลายเป็นสิ่งที่ดึงให้ทั้ง 2 คนกลับมาเจอกันอีกครั้ง แม้จะในหลายปีต่อมาและแทบจะลืมเลือนเรื่องต่างๆ ไปแล้วก็ตาม

การมอบเชือกมัดผมที่เป็นของตนให้กับคนอื่นใน Your Name. จึงไม่ต่างอะไรกับการเป็นสัญลักษณ์ว่า เราเลือกแล้วที่จะผูกชีวิตไว้กับคนๆ นี้

-4-

สิ่งหนึ่งที่หลายคนอาจสงสัยคือ ทำไมทาคิกับมิตสึฮะจึงลืมเลือนเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่าง 2 คน เราอาจอธิบายได้ง่ายๆ ว่าเป็นเพราะเทพเจ้ากำหนดมาแบบนี้ แต่ถ้าหากอยากลึกซึ้งกว่านั้นสักหน่อยก็ได้เหมือนกัน เพราะตัวหนังเองก็พยายามสร้างตรรกะมารองรับเรื่องนี้เช่นกัน อันที่จริงๆ เราต่างคุ้นเคยกับ Plot ข้ามเวลาอยู่แล้ว แต่ใน Your Name จะพิเศษหน่อยตรงช่วงเวลาที่ต่างกันนั้น ไม่ได้นานมาก คือแค่ 3 ปีเท่านั้น (ตรงนี้ทำให้นึกถึงหนัง “Il Mare” ที่เวลาห่างกันแค่ 2 ปี) เมื่อเวลาไม่ได้ต่างกันมาก จึงมีโอกาสที่เราจะได้เจอคนที่เราอยากเจอใน Timeline เรา เหมือนอย่างเช่นที่มิตสึฮะไปเจอทาคิในวัย 14 ปี นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมตอนนั้นทาคิจึงยังไม่รู้จักมิตสึฮะ

ทาคิเติบโตมาโดยผ่านการรับรู้ข่าวว่ามีเหตุอุกาบาตตกใส่เมืองแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ต่อมาเมื่อทาคิได้สลับร่างกับมิตสึฮะ และรู้ว่าเมืองที่โดนอุกาบาทตกเมื่อ 3 ปีก่อนคือเมืองที่มิตสึฮะอาศัยอยู่นั่นเอง ทาคิพยายามหาทางกลับไปเตือนให้มิตสึฮะหนีก่อนที่จะเกิดเหตุ นั่นเป็นผลให้เหตุการณ์ในอดีตเปลี่ยนแปลงไป มิตสึฮะและเมืองของเธอรอด แต่นั่นก็ทำให้เกิดข้อสงสัยตามมาอีกว่า แล้วทำไมพวกเขาถึงลืมเรื่องของกันและกันละ ทั้งที่ช่วงตอนสลับร่างเป็นช่วงก่อนที่จะมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอดีต

ตรงนี้ถ้าจะลองไล่เรียงดูน่าจะเป็นเรื่องของ “The Butterfly Effect” เมื่อเหตุการณ์ในอดีตถูกเปลี่ยนไป (มิตสึฮะและชาวเมืองรอด) ทาคิในวัย 14 ก็ไม่ได้รับรู้ข่าวเรื่องเมืองถูกทำลาย ขณะที่ฝั่งมิตสึฮะก็อาจไม่มีแรงปรารถนาจะไปให้พ้นจากชีวิตเดิมๆ ในเมืองของเธอ (ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งให้เธอได้สลับร่างกับทาคิที่อาศัยอยู่ในโตเกียว) เหมือนเมื่อก่อน เพราะเมืองก็ถูกทำลายไปแล้ว ตนเองก็ต้องย้ายไปอยู่ที่ใหม่อยู่ดี ทั้ง 2 โตมาในปัจจัยแวดล้อมที่เปลี่ยนไป จนกลายเป็น The Butterfly Effect ที่อาจส่งผลให้ทาคิไม่มีการสลับร่างกับมิตสึฮะในเวลาต่อมา เมื่อไม่สลับร่าง ทาคิใน Timeline ใหม่ เลยไม่รู้จักมิติสึฮะ และจำไม่ได้ว่าตัวเองมาที่เมืองของมิตสึฮะทำไม

ขณะที่ในฝั่งของมิตสึฮะ แม้ว่าช่วงเวลาที่เธอได้รู้จักกับทาคิ จะเป็นช่วงก่อนที่จะมีการแก้ไขอดีตในวันอุกกาบาตตก แต่ก็ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบจาก The Butterfly Effect นี้ด้วย เพราะเมื่อใน Timeline ที่เขียนขึ้นใหม่ ทาคิไม่เคยสลับร่างกับมิตสึฮะมาก่อน ก็เท่ากับว่ามิตสึฮะไม่เคยสลับร่างกับทาคิด้วยเช่นกัน (มันอาจซับซ้อนหน่อยเพราะการสลับร่างในเรื่องนี้มาพร้อมกับการข้ามเวลา) ความทรงจำเกี่ยวกับทาคิในช่วงสลับร่างจึงค่อยๆ เลือนหายไปเช่นกัน สุดท้ายเธออาจจำได้ว่าเคยเดินทางไปโตเกียวแล้วมอบเชือกมัดผมให้เด็กผู้ชายคนหนึ่ง แต่เธอก็จะจำไม่ได้แล้วว่าไปทำไม แล้วเด็กผู้ชายคนนั้นคือใครกัน

และถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่า Your Name. เลือกจะจบเรื่องด้วยการเล่าผ่านมุมมองของ “ทาคิ” เพราะ Timeline ในฝั่งของทาคินั้นค่อนข้างชัดเจนและซับซ้อนน้อยกว่าฝั่งมิตสึฮะ เป็นความชาญฉาดและรัดกุมของตัวหนัง ที่พยายามปิดข้อสงสัยต่างๆ ให้ได้มากที่สุด

-5-

และสิ่งหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้คือ หนังใส่เรื่อง “ความฝัน” เข้ามา โดยทำให้ช่วงเวลาที่ทั้ง 2 สลับร่างกันนั้นรู้สึกเหมือนกำลังฝันอยู่ ประเด็นคือเมื่อคนเราตืนมานั้น เรามักจะจำเหตุการณ์ในฝันไม่ค่อยได้ และต่อให้จำได้เราก็จะมองว่ามันเป็นแค่ความฝัน และไม่ได้สนใจอะไรมากนัก รายละเอียดสิ่งของต่างๆ เป็นสิ่งแรกๆ ที่จะถูกลืมเมื่อเราตื่น ใน Your Name. เราจึงเห็นว่าทาคิกับมิตสึฮะจะค่อยๆ ลืมชื่อของกันและกันก่อน และลามไปถึงการลืมเรื่องอื่นๆ ด้วยต่อมา

ในเรื่อง “Inception” ซึ่งเป็นหนังที่พูดถึงการเข้าไปฝังความคิดในความฝันคนอื่น บอกกับเราว่าการฝังความคิดที่จะประสบความสำเร็จนั้นต้องเป็นความคิดที่เรียบง่าย เสียจนเราไม่รู้ว่าตัวมาจากความฝัน ซึ่ง Your Name. ดูเหมือนจะหยิบเอาตรงนี้มาใช้ เมื่อสิ่งที่ทาคิฝากไว้กับมิตสึฮะในการเจอกันครั้งสุดท้าย ก่อนเหตุการณ์แก้ไขอดีต ไม่ใช่ “ชื่อ” ที่เป็นเรื่องรายละเอียด แต่เป็นข้อความ “ฉันรักเธอ” สิ่งที่ทาคิฝังเอาไว้ในมิตสึฮะคือ “ความรัก” มันเรียบง่าย แต่เป็นความรู้สึกที่ติดทนนาน เมื่อทั้ง 2 ได้เจอกันอีกครั้ง ความรู้สึกที่เรียกว่าความรักนี่แหละที่ดึงดูดพวกเขาเข้าด้วยกัน

หลายคนน่าจะรู้จัก “Déjà vu” อันเป็นปรากฎการณ์ที่เรารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอสิ่งต่างๆ มาก่อน ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่เคยเจอ นี่แหละคือสิ่งที่เกิดขึ้นใน Your Name เรารู้สึก déjà vu เพราะเคยเจอกันมาก่อนจริงๆ แต่ในอีก Timeline หนึ่ง และที่เรายังรู้สึกต่อกันเพราะสายใยสัมพันธ์ที่มีต่อกันนี่แหละ

-6-

ในการโปรโมต “Your Name.” มันมีการชูจุดขายว่า เป็นหนังที่ “เหงา” ที่สุด ยิ่งเมื่อมีเสียงเล่าลือว่างานก่อนๆ ของ อ.ชินไค ก็มาในทางสายเหงาเช่นกัน ทำให้เกิดความคาดหวังว่ามันจะต้องเป็นงานที่เหงามากๆ แน่ๆ อย่างไรก็ตาม คงต้องขอเตือนว่าในช่วงเวลา 107 นาทีของหนังนั้น ไม่ได้ถึงกับเหงามากเท่าไหร่ และว่าไปตอนที่หนังฉายนั้น ตัวเราแม้จะชอบแต่ก็ไม่ได้ถึงกับอินมากนัก จนกระทั่งเมื่อฉากสุดท้ายของหนังจบนั่นแหละ ความร้ายกาจที่แท้จริงๆ ของ Your Name. จึงเริ่มทำงาน

เมื่อพูดถึงเรื่องความเหงา เราไม่ได้รู้สึกเหงาเพราะเราอยู่คนเดียว แต่เรารู้สึกถึงมันเพราะเราไม่อยากอยู่คนเดียวต่างหาก ความรู้สึกของการไม่อยากอยู่คนเดียว ทำให้ลึกๆ เราเชื่อว่าน่าจะมีบางคนที่ผูกกันไว้กับเราอยู่ เป็นส่วนที่ขาดหายไปของเขา แล้วเราก็รอที่จะเจอคนๆ นั้น แต่ยิ่งรอเท่าไหร่มันก็ยิ่งเหงามากขึ้น เพราะเราเองก็ไม่มั่นใจว่าที่เราเชื่อนั้นถูกต้องหรือไม่ แล้วสุดท้ายเรากำลังรอคอยอะไรกันแน่ มันง่ายกว่าถ้าจะรอในสิ่งที่่มีตัวตนชัดเจน นี่แหละที่ว่าในการรอคอยมักมีความเหงาซ่อนอยู่เสมอ

107 นาทีของ Your Name. คือการแสดงให้เห็นถึงตัวอย่างของการตามหาอีกส่วนของตนเองที่รอมานาน แล้วก็ได้เจอ มันเลยยังไม่เหงามาก จนกระทั่งหนังจบลง แล้วได้เราเริ่มหันมาคิดกับตัวเองว่า แล้วเราละ กำลังรอใครอยู่หรือเปล่า แล้วเราสูญเสียไปแค่ไหนกับการรอคอยนั้น มันจะมีโอกาสที่เราจะได้เจอคู่ของเราจริงๆ แบบในหนังมั้ย ยิ่งคิด ความเหงาก็ยิ่งแสดงพลังทำลายล้างใส่เรามากขึ้น

Your Name. อาจไม่ใช่หนังที่ถึงกับเป็นที่สุด มันยังมีจุดอ่อนอยู่บ้างเช่น การรักกันของพระเอกนางเอกที่ดูรวดเร็วเกินไป และด้วยความที่มันเป็นหนังอนิเมะแถมยังเป็นญี่ปุ่น ทำให้มีจังหวะ “ล้นๆ” ตามสไตล์ญี่ปุ่นอยู่บ้าง ถ้าวัดกันเฉพาะที่ตัวหนัง ส่วนตัวคงให้ 8 เท่านั้น แต่สิ่งที่ร้ายกาจสุดของ Your Name. คือหนังสามารถสร้างอารมณ์ติดค้างในความรู้สึกให้กับคนดูแล้ว ดูจบแล้วเหมือนมันจุกๆ ไม่อยากลุกจากโรง เพื่อขอเวลาทำความเข้าใจกับความรู้สึกกับตัวเองสักพัก ไม่แปลกใจนักว่าทำไม Your Name. ถึงสามารถครองแชมป์ในญี่ปุ่นได้อย่างยาวนาน เพราะการค้างคาในความรู้สึกนี่แหละ ทำให้เราอยากกลับไปดูหนังเรื่องนี้อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง… และยิ่งเราคิดถึงสิ่งที่หนังต้องการสื่อสารมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งชอบหนังเรื่องนี้มากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้น…

จบเรื่องนี้แล้ว ต่อเรื่องไหนดี

 
ถ้าดู Your Name. แล้วชอบนี่คือ หนังที่คุณไม่น่าพลาด
Inception, Il Mare, The Butterfly Effect, The Time Traveler’s Wife, About Time, Deja Vu

Share

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

Avatar photo
Latest posts by จุรีพร โนนจุ่น (see all)