[Review] Call Me by Your Name – ความรักทำให้เราเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์

ในยุคสมัยกรีกโบราณนั้น มีคติความเชื่อหนึ่งที่เรียกว่า “Pederasty” หรือที่แปลได้ว่า “รักในเด็กผู้ชาย” ซึ่งมีที่มาจากแนวคิดเรื่องชายเป็นใหญ่ และการยกย่องความสัมพันธ์แบบชาย-ชายว่าเป็นความสัมพันธ์อันสูงส่ง เนื่องจากเป็นสิ่งที่ทำให้เราสามารถเข้าใกล้ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ (กรีกโบราณนั้นหลงใหลและยกย่องร่างกายผู้ชายว่าเป็นความงามที่สูงส่ง) ในขณะที่ความสัมพันธ์แบบชาย-หญิงนั้น อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเพราะเป็นไปเพื่อสืบทอดทายาทเท่านั้น

คติแบบ Pederasty ทำให้การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับชายในยุคกรีกโบราณดูไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด หากแต่เป็นพิธีกรรมอันยิ่งใหญ่เสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะในความสัมพันธ์แบบครูกับลูกศิษย์ เมื่อครูใช้อวัยวะเพศและน้ำกามเป็นสิ่งส่งต่อ “ความเป็นชาย” (Manliness) ไปยังลูกศิษย์ เพื่อทำให้พวกเขาก้าวผ่านสู่การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม เมื่อลูกศิษย์เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว พวกเขาก็สามารถแต่งงานมีลูกหลานได้ตามปกติ หรือจะยังมีความสัมพันธ์เช่นนี้กับเด็กหนุ่มคนอื่นได้เช่นกัน ตราบเท่าที่ไม่ส่งผลต่อการมีบุตร

ที่เกริ่นเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะเชื่อว่า “Call Me by Your Name” น่าจะเอาแนวคิดเรื่อง Pederasty เป็นพื้นฐาน และต่อยอดไปในแนวทางของตัวหนังเอง

ณ อิตาลี ช่วงฤดูร้อนปี 1983 ครอบครัวของ “Elio” (Timothée Chalamet) เด็กหนุ่มวัย 17 ปี ได้ต้อนรับ “Oliver” (Amie Hammer) นักเรียนหนุ่มวัย 24 ปี จากอเมริกา ที่มาช่วยพ่อของ Elio ทำงานวิชาการด้านโบราณคดี สำหรับ Elio แล้ว เขาก็เหมือนวัยรุ่นชายชาวอิตาลีทั่วไปที่ดูเป็นคนรักสนุก ยียวน และมีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้ามพอควร แต่นั่นอาจยังไม่เท่ากับ Oliver ที่หลังจากมาอยู่อิตาลีไม่นานเขาก็ดูจะกลายเป็นหนุ่ม Hot ของเมืองนั้นทันที

ในมุมมองของ Elio แล้ว เชื่อว่าเขามอง Oliver เป็นเสมือน “แบบอย่าง” ที่เขาอยากจะเป็น เพราะ Oliver มีครบทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง หน้าตา เสน่ห์ ความรู้ หรือกระทั่งอนาคต และคงเพราะเหตุนี้ Elio จึงให้ความสนใจตัว Oliver มาโดยตลอด และพัฒนาไปสู่ความรู้สึกทางเพศ ด้วยวัย 17 ปี อันเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อการเข้าสู่เป็นผู้ใหญ่ นั่นทำให้ Elio ในช่วงวัยที่มีความอยากรู้ อยากเห็น อยากลอง และครุ่นคิดอยู่ในใจว่าเขาจะเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์ได้อย่างไร ซึ่ง Oliver คือคำตอบนั้น

สิ่งที่ Call Me by Your Name แตกต่างจากหนัง Homosexual เรื่องอื่นๆ คือในขณะที่เรื่องอื่นแม้จะเป็นความรักของเพศเดียวกัน แต่ก็มักเอากรอบความเรื่องความรักต่างเพศเข้ามาครอบ นั่นทำให้มีการกำหนดบทบาทว่าใครจะเป็น “เมะ” หรือจะเป็น “เคะ” แต่ใน Call Me by Your Name นั้นไม่ได้กำหนดบทบาทชัดเจนขนาดนั้น ตัว Elio เองนั้นถูกถ่ายทอดให้ดูเป็นชายที่มีความเท่แบบที่วัยรุ่นชายหลายคนอยากเป็นเสียด้วยซ้ำ และเขาก็ชอบที่จะเป็นแบบนั้น แม้กระทั่งหลังมีความสัมพันธ์กับ Oliver ไลฟ์สไตล์ของ Elio ก็ยังคงอยู่เช่นเคย

สำหรับเรา Call Me by Your Name เป็น Coming of Age ที่ไม่ได้มาในทาง Coming Out ว่า “I’m Gay” ถึงแม้ว่าเนื้อเรื่องจะเป็นความรักระหว่างชาย-ชายก็ตาม สิ่งที่ Elio ได้จากการ Coming of Age ครั้งนี้ คือการเรียนรู้ที่จะรักต่างหาก ซึ่งมันก็มาพร้อมกับการเรียนรู้ที่จะเจ็บเช่นกัน

ความสัมพันธ์ของ Elio และ Oliver เริ่มต้นแบบ Pederasty กับความต้องการเป็นชายที่สมบูรณ์ ซึ่งถ้าเป็นกรีกโบราณมันก็จบลงแค่นั้น และแยกย้ายกันไปแบบไม่รู้สึกเจ็บปวด เพราะเป้าหมายของความสัมพันธ์คือการเป็นชายที่สมบูรณ์เท่านั้น แต่ใน Call Me by Your Name มันไม่จบแค่นั้น เพราะมันเกิดความรู้สึกว่าอยากอยู่กับอีกคนต่อไปให้นานๆ เป็นความรักในนิยามปัจจุบันที่ไม่เหมือนกับสมัยกรีก

หนังเล่นกับประเด็น Pederasty ก่อนจะตอกกลับประเด็นนี้ด้วยมุมมองตัวเองไปว่า การจะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์นะ มันไม่ใช่แค่การมีอะไรกับผู้ชายที่อายุมากกว่าหรอก แต่มันคือการเรียนรู้ที่จะรัก พร้อมๆ กับเข้าใจว่าความเจ็บมันเป็นเช่นไรต่างหาก พอคิดๆ ดูแล้วก็เข้าใจเลยว่าทำไมในช่วงท้ายพ่อของ Elio จึงเลือกพูดประเด็นนี้กับ Elio มากกว่าจะแค่ถามว่า “ลูกเป็นเกย์” หรือเปล่า เป็นฉากเรียบๆ ที่ทรงพลังและเหมือนเป็นสิ่งปลดล็อกทั้งหมดทั้งมวลที่หนังนำเสนอมาเลยทีเดียว

เหนือสิ่งอื่นใด Call Me by Your Name คงไม่งดงามขนาดนี้ และเสี่ยงจะเป็นเพียงหนังรักขาย Sex เรื่องหนึ่ง หากหนังไม่มีบรรยากาศที่ชวนหลงใหลเช่นนี้ หนังถ่ายทอดหน้าร้อนของอิตาลีให้เป็นหน้าร้อนที่แสนละมุนละไม แต่ขณะเดียวกันก็แฝงด้วยความเร่าร้อนจากอารมณ์ของ Elio หนังอาจเดินเรื่องเรื่อยๆ ไม่มีจุดพีค จุดไคลแมกซ์ ซึ่งนั่นทำให้ช่วงแรกๆ มีวูบหลับไปบ้าง แต่ไม่นานหลังจากนั้นบรรยากาศของเรื่องทั้งภาพและเสียงก็ดึงดูดเราจนไม่สามารถละสายตาได้เลย

“Timothée Chalamet” เกิดสุดๆ กับการแสดงเป็นตัวละครที่เหมือนกำลังแสดงเป็นอะไรบางอย่าง โดยที่่ตัวละครนั้นก็ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วที่กำลังแสดงใช่ที่ตัวเองต้องการหรือไม่ หรือจริงๆ แล้วเขาต้องการอะไรกันแน่ บท Elio ไม่ใช่แค่เรื่องของเด็กที่หลงรักผู้ใหญ่ ซึ่ง Timothée ก็ถ่ายทอดความซับซ้อนนั้นให้เรารู้สึกได้ ที่สำคัญเสน่ห์ของเขาค่อนข้างล้นเหลือมากไม่ว่าจะกลับเพศไหนก็ตาม และคิดว่าต่อไปน่าจะเป็นดาวรุ่งของ Hollywood ที่น่าจับตามากเลยทีเดียว อันที่จริงถ้าจะได้ Oscars จากเรื่องนี้ด้วยก็ไม่แปลกใจอะไร

Avatar photo
Latest posts by จุรีพร โนนจุ่น (see all)