[Review] Captain America: Civil War – a.k.a. The Avengers 2.5 (Spoil)


Captain America 3

 
Captain America ภาคแรก อาจเริ่มต้นได้ไม่วูบวาบนัก แต่ก็หนึ่งในจิ๊กซอว์ที่นำไปสู่ The Avengers จนกระทั่งภาค 2 The Winter Soldier ก็กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อ 2 ผู้กำกับใหม่ “Joe Russo” และ “Anthony Russo” ได้เข้ามาพลิกจากซุปเปอร์ฮีโร่คุณปู่ให้กลายเป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่การเมืองที่มีโทนของความจริงจังมากกว่าหนัง Marvel Studio เรื่องไหน นับจากนั้น Captian America ก็กลายเป็นหนึ่งในตัวละครยอดนิยมของเหล่าแฟนหนังทันที ความสำเร็จของภาค 2 ยังยืนยันได้จากการที่ Marvel ไว้วางใจให้พี่น้อง Russo เป็นผู้กำกับของ The Avengers 3.1 และ 3.2 ต่อ รวมถึงสานต่อใน Captain America 3 ที่ขึ้นหิ้งกลายเป็นหนึ่งในหนังที่คนรอดูมากที่สุด

แรกเริ่มเดิมทีนั้นช่วงจบ The Winter Soldier นั้นจะออกมาในแนวการปะทะกันของ Captin America ยุค 40’s กับ 50’s แต่ภายหลังก็ชัดเจนว่าหนังเลือกหยิบเอาเหตุการณ์ “Civil War” หนึ่งใน Event ชื่อดังของ Marvel ตั้งแต่สมัย Comics ซึ่งตัว Civil War นั้นเดิมเป็นเรื่องความขัดแย้งในหมู่ฮีโร่ อันเนื่องมาจากประเด็นการลงทะเบียนฮีโร่ที่นำไปสู่ประเด็นการเปิดเผยตัวตนต่อสาธารณชน เกิดการแบ่งเป็นฝ่าย Iron Man ผู้เห็นด้วยกับการลงทะเบียน และฝ่าย Captian America ที่ไม่เห็นด้วย สู้กันจนก่อความเสียหายไปทั่ว ทั้งนี้ ชื่อ Civil War นั้นก็มีที่มาจากชื่อสงครามกลางเมืองระหว่างอเมริกาฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ในอดีตนั่นเอง

ในเวอร์ชั่นหนัง นำโครงใหญ่ของ Civil War มาใช้ ในเรื่องการสู้รบกันเอง แต่เปลี่ยนประเด็นจากลงทะเบียนเพื่อเปิดเผยตัวตน เป็นความขัดแย้งในประเด็น “ข้อตกลงโซโคเวีย” ที่ Iron Man เสนอให้ The Avengers ไม่ใช่องค์กรอิสระแต่อยู่ภายใต้การควบคุมของสหประชาชาติ ขณะที่ Captain America คัดค้าน เพราะมองว่า The Avengers ควรมีอิสระและสิทธิในการเลือกว่าจะปฏิบัติการหรือไม่ ซึ่งข้อตกลงนี้มีที่มาจากเหตุการณ์โซโคเวียใน Avengers 2: Age of Ultron ที่ทำให้ผู้บริสุทธิ์ล้มตาย รวมถึงในภาคนี้ ช่วงต้นก็มีฉากความเสียหายที่ The Avengers ได้สร้างขึ้น จนนำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ต่อทีม The Avengers

แน่นอน เมื่อหนังเลือกใช้ Civil War เป็นแกนหลัก และดำเนินเรื่องต่อ Avengers 2 ทำให้หนังมีต้องใส่ตัวละคร The Avengers อื่นๆ เข้ามา และสร้างทีมฮีโร่เพื่อสู้กัน ซึ่งถ้าใครเป็นแฟน MCU น่าจะชอบใจไม่น้อย เพราะว่าในเรื่องยกกันมาทั้งทีม ขาดแค่ Thor กับ Hulk เท่านั้น แต่ในอีกแง่หนึ่งพอเป็นเช่นนี้ มันก็เลยทำให้ Captain America ภาคนี้ ดูไม่เหมือน ภาค 3 ของ Captain America แต่เป็น “The Avengers 2.5” ต่างหาก เพราะหนังเล่นประเด็นเกี่ยวกับ The Avengers โดยตรง ขณะที่แอร์ไทม์ก็ถูกแชร์ไปหลายๆ คน ไม่ได้เน้นที่ Captain คนเดียว สิ่งที่ยังทำให้ภาคนี้ยังดูเป็นหนังเดี่ยวของ Captain America อยู่ ก็คงเป็นการมีอยู่ของตัวละครอย่าง “Winter Soldier” “Falcon” และ “Agent 13”

The Avengers 2.5

 
ดังนั้น หากอยากดู Captain America 3 อาจไม่ได้อย่างหวัง แต่ถ้าอยากดู The Avengers “แบบที่ควรจะเป็น” นั่นคือสิ่งที่เราจะได้รับจากเรื่องนี้ แต่เอาเข้าจริง สำหรับหลายคน การที่หนังจะเป็น Cap.3 หรือไม่ก็ไม่ใช่ปัญหาเท่าไหร่ เพราะ MCU เดินมาถึงจุดที่สามารถทำให้คนส่วนใหญ่รักในความเป็นจักรวาลอันกว้างใหญ่ของทีนี่ มากกว่าจะเจาะไปที่คนใดคนหนึ่งได้แล้ว ยิ่งเอาตัวละครที่ดังสุดของ MCU มาปะทะกันแบบนี้ ยังไงก็กระตุกความอยากดูได้อยู่แล้ว

หากเรามอง Captain America 3 เป็น The Avengers 2.5 จะเห็นได้ว่า หนังเรื่องนี้พัฒนาแก้ไขบทเรียนจากตอน Avengers 2 ไปหลายอย่าง หนังยังทำหน้าที่แบบหนัง MCU หลายเรื่อง คือเชื่อมโยงเรื่องก่อน ปูทางสู่เรื่องใหม่ ขยายจักรวาล MCU ให้กว้างไกล ผสมด้วยมุมตลกและแง่มุมน่ารักของตัวละครที่ทำให้เราหลงรักได้ ในขณะที่ Age of Ultron จะสุดขั้วมากไปในการขยายจักรวาล จนละเลยแก่นหลักของเรื่อง Ultron ดูกลายเป็นวายร้ายตัวประกอบไป แต่ Civil War สามารถรักษาระดับความพอดีได้ในการคงเนื้อเรื่องของตัวเองไว้ที่ความขัดแย้งระหว่างทีม Capt. กับทีม Iron Man ไปพร้อมๆ กับการที่ทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งใน MCU ได้อย่างดี ถ้านับว่านี่คือการซ้อมมือของพี่น้อง Russo ก่อนรับงานใหญ่ใน The Avengers 3 ก็นับว่าไว้วางใจได้เลยสำหรับแฟน Marvel

อย่างไรก็ตาม ในแง่หนึ่งก็ยังแอบเสียดายความเป็นหนังทริลเลอร์การเมืองแบบ Capt.2 อยู่บ้าง ซึ่งใน Civil War ก็ยังมีอยู่ โดยเฉพาะครึ่งแรกของเรื่องที่พี่น้อง Russo จะใส่สไตล์แบบ Capt.2 เข้าไปอยู่ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นพีคสุดๆ หรือเข้มข้นสุดๆ แบบภาคก่อน มีความรู้สึกว่าตัวหนังเองก็พยายามไม่เล่นท่ายากเกินไป หลายช่วงมีความรู้สึกว่าหนัง Play-safe ทั้งที่ประเด็น Civil War นั้นเปิดโอกาสให้เล่นยิ่งกว่าตอน Winter Soldier สามารถกลายเป็นหนังดราม่าได้ง่ายๆ แต่หนังก็ไม่ได้ไปถึงขั้น ซึ่งข้อดีของมันก็คือหนังสามารถเข้าถึงคนหลายกลุ่มได้ และถึงจะไม่เล่นท่ายาก แต่หนังก็ทำได้ดี ได้ถึง ในท่าที่โชว์ออกไป ภายใต้เงื่อนไขของหนังว่าที่เป็น Captain America vs. Iron Man ในจักรวาล MCU อันแสนกว้างใหญ่ เพราะว่าบางทีการพยายามเล่นท่ายากไป ถ้าตกลงมาก็เจ็บได้

Civil War

 
โจทย์ของ Civil War คือทำยังไงให้ทีม Avenger ตีกันเอง แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ไม่ใช่การตีกันแบบใน The Avenger 1 ที่ต่างคนยังไม่ค่อยรู้จักกัน จึงมีเรื่องกระทบกระทั่งกัน แต่เป็นการตีกันโดยที่แต่ละคนรู้จักกันดีอยู่แล้ว หนังเลือกใช้ “ข้อตกลงโซโคเวีย” เป็นจุดเริ่มต้นของความคิดเห็นที่ไม่ลงรอยกัน แต่ก็แค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะประเด็นหลักที่ทำให้ตีกันจริงๆ กับอยู่ที่ตัว “Winter Soldier” เมื่อ Captain เลือกจะปกป้องเพื่อนรัก แต่ Iron Man เลือกจะยึดตามคำสั่งรัฐ ตรงนี้จะว่าดีก็ดี เพราะเน้นให้เห็นอารมณ์ตัวละครได้มากขึ้น แต่อีกทางหนึ่ง มันก็เป็นการย่นย้อประเด็นความขัดแย้งในเชิงความคิดทางสังคม การเมือง ให้เหลือแค่ความขัดแย้งส่วนตัวเป็นหลัก การรวมทีมจึงมาในแนวใครสนิทใครมากกว่า เข้าใจว่าหนังเองพยายามเชื่อมเรื่องของการสูญเสียสิทธิที่จะเลือก หากเซ็นข้อตกลงโซโคเวีย เข้ากันกับตัว Winter Soldier ที่ไม่มีสิทธิเลือกในการปฏิบัติการเช่นกัน แต่ประเด็นนี้ไม่เด่นชัดเท่าความสัมพันธ์ระหว่าง Captain และ Winter Soldier

ฉาก Civil War ในลานจอดสนามบิน หนึ่งในไคล์แมกซ์ของเรื่อง ถือว่าทำมาได้สนุก มีสไตล์ความเป็นหนัง Marvel สูง ที่มักแทรกมุขตลกเข้าไป ซึ่งในฉากนี้มีมุขแทรกเข้ามาอยู่เรื่อยๆ แถมเปิดโอกาสให้ตัวละครแต่ละตัวโชว์พลังของตัวเองได้ การเปิดตัว Spider-man ถือว่าทำได้ดี ในแง่การโชว์ความ “กวนตีน” ให้กับตัวละครนี้ (Peter ในเวอร์ชั่นนี้ดูเป็นวัยรุ่นทั่วไปที่ยังไม่เจอวิกฤตชีวิต ผิดกับเวอร์ชั่นก่อนๆ ซึ่งจะดีหรือไม่ดีคงต้องรอดูหนังเดี่ยวของ Spider-man เวอร์ชั่นใหม่) อย่างไรก็ตาม ฉาก Civil War นี้เอง บางช่วงก็ให้ความรู้สึกของการที่เพื่อนตีกันมากกว่าจะฆ่ากันจริงๆ ตีกันไป แซวกันไปมาก กระนั้นหนังก็สามารถกลับมาตีกันอย่างดูจริงจังได้อีกครั้ง ในไคล์แมกซ์อีกหนึ่งไคล์แมกซ์ช่วงท้ายเรื่อง

สิ่งที่น่าชื่นชมสุดคือ วายร้าย ของเรื่อง “Baron Zemo” นี่คือวายร้ายแบบที่ MCU ควรจะมี เป็นคนธรรมดา ที่เหมือนจะไม่มีอะไร แต่กลับสามารถปั่นหัวทีม The Avenger ได้ อันตรายเสียยิ่งกว่าวายร้ายมีพลังที่มักแพ้อย่างง่ายๆ ในหนัง MCU หลายเรื่องที่ผ่านมา แต่ Baron Zemo คงเป็นวายที่ไม่โดดเด่นขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่ “Daniel Bruhl” ถ่ายทอดบทออกมานี้ออกมาได้อย่างเยี่ยม จริงๆ Daniel เล่นดีมานานแล้ว โดยเฉพาะ “Rush” แต่เรื่องนี้คงทำให้เขาเป็นที่จดจำมากขึ้น

 

MCU

 
เนื่องจาก Captain America: Civil War มีความเป็น The Avengers 2.5 สูง ซึ่ง The Avenger แต่ละภาค ก็หมุดหมายสำคัญในจักรวาล MCU เช่นเดียวกันหนังเรื่องนี้ก็ทำหน้าที่ในการเป็นหมุดหมายนั้น หนังได้เปลี่ยนความสัมพันธ์ของสมาชิกในทีม The Avengers ทั้งเก่าและใหม่ ซึ่งความแตกร้าวนี้จะถูกส่งต่อไปยัง The Avengers: Infinity Wars และทำให้พอเข้าใจว่าทำไมต้องแบ่ง Infinity Wars ออกเป็น 2 ภาค นอกเหนือจากแค่การยืดเวลาจักรวาลให้นานออกไป เพื่อทำรายได้ให้มากขึ้น

Captain America: Civil War อาจไม่ได้ถึงขั้นก้าวพ้นการเป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ แต่มันก็ทำได้ถึงในสิ่งที่แฟนหนัง MCU ต้องการ

Share

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
Avatar photo
Latest posts by จุรีพร โนนจุ่น (see all)