[Review] Central Intelligence – ไม่มีใครชอบการถูกรังแก

“Central Intelligence” ดูเป็นหนังที่ไม่มีอะไรน่าสนใจ ก็แค่หนังตลกเรื่องหนึ่ง ที่ใส่ความเป็น Action สายลับ และชูโรงด้วยการนำ 2 ดาราดังสาย Action กับ Comedy อย่าง “Kevin Heart” กับ “Dwayne Johnson” มาจับคู่กัน แต่เอาเข้าจริงแล้ว ความธรรมดาๆ ของหนังเรื่องนี้ กลับให้อะไรคืนมาได้มากกว่าที่คิด ทั้งความสนุกและสาระที่สอดแทรกเข้ามาก

ก่อนอื่นเลย ที่ชอบในเรื่องนี้ คือมันเป็นหนังตลกที่ตลก คือถ้าหนังตลกทำออกมาแล้วไม่ตลกนี่จบเลย แต่นี่คือตลกจริงๆ อาจไม่ “ฮาหนัก” แต่ก็ “ฮาตลอด” ซึ่งตรงนี้จะต่างกับ The Nice Guys ที่ฉายในไทยช่วงเดียวกัน เรื่องนั้นเน้นฮาหนัก แต่ไม่ฮาตลอด อีกอย่างที่ต่างก็คือมุขใน Central Intelligence นั้นค่อนข้าง “คลีน” มาก หนังแทบไม่เล่นมุขคำหยาบ เซ็กส์ หรือยาเสพติดเลย อาจมีมุขเรื่องสีผิวบ้าง แต่ก็เป็นลักษณะการแซวตัวเองมากกว่า ซึ่งจะว่าไปก็หาได้ยากสำหรับหนังตลกแบบคลีนๆ จากฝั่ง Hollywood แบบนี้ เพราะช่วงหลังๆ Hollywood มีแต่หนังตลกที่อัดมุขหยาบๆ เซ็กส์ และยาเสพติดเข้าไปเต็มพิกัด โดยเฉพาะกัญชาที่แทบจะกลายเป็น Item ประจำของหนังตลกอเมริกาไปเสียแล้ว แต่ใน Central Intelligence ไม่มีสิ่งเหล่านั้นเลย

ดังนั้น หนังเรื่องนี้ไม่มีปัญหาให้เหล่าคุณพ่อคุณแม่กังวลใจแน่นอน หากจะพาลูกไปดูหนังเรื่องนี้

นอกเหนือจากความตลก Central Intelligence เป็นหนังตลกอีกเรื่องที่พิสูจน์ว่า หนังตลกก็มีสาระได้ และมันเป็นสาระที่เข้ากับยุคสมัยมาก หนังวางตัวละครหลัก 2 คน “Bob Stone” (Dwayne Johnson) และ “Calvin Joyner” (Kevin Hart) เป็นคนที่ต่างประสบปัญหาในชีวิตทั้งคู่ และเป็นปัญหาที่คนภายนอกกลับไม่มองว่ามันคือปัญหา

สำหรับ Bob ปัญหาของเขาคือ เมื่อ 20 ปีก่อน เขาเป็นหนึ่งในเป้าหมายของการโดน “กลั่นแกล้ง” (Bullying) จากเพื่อนๆ ในโรงเรียน ซึ่งมองเขาเป็นเพียงไอ้อ้วนตัวตลก การกลั่นแกล้งที่หนักสุด คือ การโดนเพื่อนร่วมโรงเรียนจับเขาโยนไปในสนามบาส โดยที่เขาไม่ได้ใส่อะไรเลย ท่ามกลางสายตาของเพื่อน ม.6 ทั้งรุ่น แทนที่ทุกคนจะช่วยเหลือ ต่างพากันหัวเราะใส่แทน จะมีเพียง “Calvin” ที่ยื่นมือช่วยเหลือเขา ผลจากการโดนกลั่นแกล้งอย่างหนัก ทำให้ Bob ตัดสินใจเปลี่ยนตัวเอง จากหมูตอนกลายมาเป็น CIA กล้ามโต เพื่อที่จะไม่ให้มีใครรังแกเขาอีก

ประเด็น Bullying เป็นประเด็นร้อนแรงมากขึ้น ในสังคมอเมริกัน รวมไปถึงสังคมต่างๆ ทั่วโลก เพราะมันมีหลายกรณีที่แสดงให้เห็นว่า การกลั่นแกล้งนั้นก่อให้เกิดผลร้ายต่อจิตใจของคนโดนรังแกมากเพียงไร เหยื่อบางคนกลายเป็นคนเก็บตัว ไม่ก็ตัดสินใจลาโลกไปเลย ซึ่งปัญหาเหล่านี้มันไม่ใช่แค่ปัญหาของการ “แค่เด็กๆ เล่นกันตามประสา” อีกต่อไปแล้ว ในกรณีของ Bob เราอาจมองว่า Bullying ก็น่าจะดีนิ เพราะมันทำให้ Bob เปลี่ยนตัวเองจนกลายเป็นยอด CIA ในปัจจุบัน แต่สำหรับ Bob การโดนกลั่นแกล้งไม่เคยเป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่เกิดในอดีตกลายเป็นแผลในใจของเขาเรื่อยมา การเปลี่ยนตัวเอง ฟิตกล้าม เหตุผลหลักก็เพื่อลบบาดแผลนั้น แต่มันแทบไม่สำเร็จเลย เพราะเมื่อ Bob ต้องเผชิญหน้ากับคนที่เคยกลั่นแกล้งอีกครั้ง เขาก็กลับไปเป็นเมื่อ 20 ปีก่อนอีกครั้ง

ขณะที่ด้าน Calvin นั้น ปัญหาที่ต้องเผชิญคือ การกดดันตัวเอง ซึ่งเป็นผลจากความคาดหวังของคนรอบข้าง ในขณะที่ Bob เป็นตัวตลกของเพื่อนๆ 20 ปีก่อน Calvin คือที่สุดของรุ่น เขาโดดเด่นทั้งกีฬา การเรียน มนุษยสัมพันธ์ และความรัก รวมไปถึง Bob ที่ยึดถือ Calvin เป็นทั้งฮีโร่และเพื่อน คุณครูมองเขาเป็นศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจที่สุด และใครๆ ต่างก็คิดว่า คนๆ นี้ต้องไปได้ไกลแน่ๆ แต่ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน Calvin เปลี่ยนเพียงนักบัญชีต๊อกต๋อย ไม่มีอะไรใกล้เคียงกับที่เคยหวังไว้เลย ความผิดหวังในตัวเอง กลายเป็นความกดดัน และทำให้ Calvin เกิดความกลัวที่จะต้องไปเผชิญหน้ากับเพื่อนๆ ในงานเลี้ยงรุ่นอีกครั้ง

สิ่งที่ Calvin ต้องเจอ คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับใครหลายคน เมื่อสิ่งที่คนอื่นคาดหวังต่อเรา กลายเป็นสิ่งที่ทำร้ายตัวเราเอง เพราะเราพยายามที่จะไปให้ถึงจุดที่คนอื่นหรือตัวเราคาดหวังไว้ แต่เพราะต้นทุนชีวิตและจังหวะเวลาที่แต่ละคนไม่มีเหมือนกัน ทำให้บางคนไม่สามารถไปถึงจุดที่ต้องการได้ และหากปล่อยวางไม่ได้ ก็จะเกิดเป็นความรู้สึกอับอาย จนบางทีไม่อยากสู้หน้าใครอีก ปัญหาแบบนี้ เทียบง่ายๆ ก็คงไม่ต่างจาก พวกพ่อแม่ที่พยายามอวยลูกๆ ให้คนอื่นฟัง โดยไม่รู้ตัวว่ากำลังสร้างแรงกดดันให้เด็กเหล่านั้น

ทั้ง Bob และ Calvin อาจโชคดี ที่มิตรภาพของพวกเขา ช่วยเหลือให้แต่ละคนสามารถกล้าก้าวผ่านปัญหาเหล่านี้ไปได้ ซึ่งก็เป็นไปตามสูตรหนังแนวนี้ ที่ต้องจบแบบ Happy ไว้ก่อน แต่ในชีวิตจริงไม่ใช่ทุกคนที่จะลบแผลเหล่านี้ไปได้ง่ายๆ

Share

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

Avatar photo
Latest posts by จุรีพร โนนจุ่น (see all)