[Review] Independence Day: Resurgence – สนุกแค่ไหนก็ไม่สนุก

เราอาจสามารถแบ่งหนังได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มแรกคือ หนังที่อยู่เหนือกาลเวลา หยิบมาดูกี่ครั้งก็ยังรู้สึกอยู่เสมอ หรืออย่างน้อยก็ต้องใช้เวลานาน กว่าเราจะไม่รู้สึกว่ามันสนุกหรือมันตกยุคแล้ว กับอีกกลุ่มหนึ่ง คือหนังที่ที่มีช่วงเวลาสนุกของมันเอง ดูในช่วงเวลาหนึ่งโครตสนุก แต่อีกช่วงเวลาหนึ่งอาจเกิดความสงสัยว่า เราเคยสนุกกับมันได้อย่างไร ทั้งนี้ เพราะแม้หนังจะยังเหมือนเดิม แต่ตัวเราและโลกนั้นไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

Independence Day คือหนังกลุ่มหลัง

20 ปีก่อน Independence Day (ID4) อาจเป็นปรากฎการณ์ของยุคสมัยนั้น แต่ความสำเร็จนั้นมันมีที่มาจากความสดใหม่และจังหวะเวลาที่พอเหมาะพอดี หนังออกฉายในปี 1996 ซึ่งเป็นช่วงสิ้นสุดสงครามเย็นไม่นาน สหรัฐอเมริกากลายผู้นำในยุคขั้วอำนาจเดี่ยว เป็นช่วงเวลาที่อเมริกันภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของตัวเองมากกว่ายุคสมัยใด ดังนั้น การที่ ID4 วางโครงเรื่องและโปรโมตให้เหมือนว่า อเมริกากำลังถูกทำลาย แถมยังเป็นในวันชาติสหรัฐฯ อีก มันทำให้คนอเมริกาช็อก (ID4 เหมือนจะเป็นเรื่องแรกๆ ที่มีฉากทำลายทำเนียบขาว) แต่ก็เกิดความรู้สึกอยากเข้าไปดูว่า เราจะเอาชนะได้อย่างไร และสิ่งที่ได้กลับมาคือความภาคภูมิใจในชาติยิ่งกว่าเดิม เพราะตัวหนังเต็มไปด้วยชาตินิยม และให้ค่าสหรัฐฯ ในฐานะผู้นำโลกที่สามารถเอาชนะเอเลี่ยน แบบที่ไม่มีประเทศไหนทำได้ หรือกล้าทำ

เมื่อผนวกกับความยิ่งใหญ่ของฉากสงครามนุษย์กับต่างดาว และ Special Effect ต่างๆ ที่ถือว่ายิ่งใหญ่และอลังการมากในยุคนั้น มันเลยทำให้ Independence Day ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ดูครั้งแรกจะรู้สึกว่ามันสนุก และตอบโจทย์ความต้องการเราทุกอย่าง ยิ่งถ้าดูตอนป็นเด็กจะยิ่งฝังใจมากยิ่งขึ้น

แต่ถ้า ID4 ภาคแรก ประสบความสำเร็จเพราะมาในจังหวะที่เหมาะเหม็งและเป็นความแปลกใหม่ในยุคนั้น 20 ปีผ่านไป เรื่องราวของ ID4 มันจะยังดึงดูดใจได้หรือเปล่า ในยุคที่อเมริกากำลังไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนเดิม ถูกท้าทายจากมหาอำนาจเก่าใหม่หลายชาติ กลุ่มก่อการร้ายต่างๆ ไปจนถึงคนในชาติบางส่วนก็เริ่มในไม่ใจในความเป็นอเมริกันแล้ว และการพูดถึงชาตินิยมอาจไม่ใช่เรื่องเท่แล้วในปัจจุบัน (แม้ลึกๆ กระแสชาตินิยมจะก่อตัวมากกว่าเดิมก็ตาม)

“Independence Day: Resurgence” เป็นภาคต่อที่ทิ้งห่างจากภาคแรก 20 ปี เป็น 20 ปีที่ “Roland Emmerich” ผู้กำกับก็ตระหนักดีกว่า โลกมันไม่เหมือนเดิม จะมาชาตินิยมสุดกู่แบบโจ่งแจ้ง มันก็คงไม่ได้ แต่ครั้นจะไม่ใส่ความชาตินิยมเข้าไปด้วย มันก็ไม่ใช่ ID4 เพราะชาตินิยมสุดขั้วเป็นภาพจำของหนังภาคแรกไปแล้ว และที่สำคัญมันก็เป็นการฝืนใจ Roland มากด้วย ถ้าจะไม่เปิดให้เขาได้แสดงความภาคภุมิใจในชาติเลย (หนังของ Roland มีความเป็นชาตินิยมเชิดชูอเมริกันอย่างหนักทุกเรื่อง) นี่ยังไม่รวมปัจจัยทางการตลาด ซึ่งทำให้ ID4 ภาคนี้ ต้องแสดงอาการ “เอาใจจีน” เป็นพิเศษ

มันเลยกลายเป็นความกระอักกระอ่วน ไม่รู้จะยังไงดีของ Independence Day Resurgence มุมหนึ่งก็อยากเชิดชูอเมริกัน แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะเดี๋ยวคงโดนหาว่าตกยุค แต่จะเน้นความเป็นมนุษยชาติก็ทำได้ไม่ถึงอีก ไม่รู้เพราะคนสร้างไม่ได้สนใจเรื่องการรวมกันเป็นหนึ่งของโลกจริงๆ หรือเปล่า มันเลยออกมาแกนๆ แค่บอกให้รู้ว่าโลกร่วมมือกันแล้วนะ (ภายใต้ผู้นำคืออเมริกา) ชาติอื่นที่พอจะมีบทบาทหน่อยก็คือ “จีน” แต่ก็เป็นการใส่เพื่อเอาใจ แบบไม่เต็มใจเท่าไหร่ ทุกฉากที่มีอะไรจีนๆ ออกมา มันเลยดูเหมือนกลายเป็นส่วนเกินของเรื่องไปเสียหมด แม้ว่านักแสดงจีนในเรื่องจะน่ารักมากก็ตาม

ปัญหาอีกอย่าง คือใน ID4 ภาคแรก เรามีอารมณ์ร่วมกับมันอย่างมาก เพราะเรารู้สึกว่ามันสามารถเกิดขึ้นได้ โลกก่อนโดนต่างดาวบุก ก็คือโลกที่เราเห็นในชีวิตประจำวันปกตินั่นแหละ แต่พอ ID4: Resurgence โลกในหนังพัฒนาไปมากกว่าโลกจริง มีเทคโนโลยีใหม่ๆ มากมาย ซึ่งได้จากพวกต่างดาวในภาคแรก อารมณ์ร่วมว่ามันอาจเกิดขึ้นได้จริงๆ มันจึงหมดไปพอควร

เอาเข้าจริง Independence Day: Resurgence มันก็สนุกพอๆ กับภาคแรกนั่นแหละ แต่ 20 ปีผ่านไป โลกเปลี่ยนไป ตัวเราก็เปลี่ยนไป โตขึ้น ผ่านโลกมาเยอะขึ้น และมองหนังด้วยสายตาผู้ใหญ่ไม่ใช่เด็กอีกต่อไป หนังแนวสงครามกับเอเลี่ยนก็ไม่ใช่ความแปลกใหม่อีกต่อไป แต่ตัวหนังกลับเปลี่ยนไม่ทันโลก ทั้งๆ ที่มีเวลาตั้ง 20 ปี ถ้าเอา Resurgence ไปฉายสัก 20 ปีก่อน มันคงประสบความสำเร็จไม่แพ้ภาคแรก แต่เพราะปีนี้ไม่ใช่ 20 ปีก่อน ต่อสนุกแค่ไหนก็ไม่สนุก กล่าวคือ ความสนุกแบบเมื่อ 20 ปีก่อน ไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างเดียวกับความสนุกแบบที่ปัจจุบันต้องการก็ได้

 

Share

  • 10
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

    10

    Shares

Avatar photo
Latest posts by จุรีพร โนนจุ่น (see all)