[Review] Maze Runner: The Death Cure – ถึงจะ WTF อยู่บ้าง แต่ก็บันเทิงเริงใจมากทีเดียว

หลังจากต้องล่าช้าไป 1 ปี เพราะอุบัติเหตุที่เกิดกับนักแสดงนำ ในที่สุด “Maze Runner: The Death Cure” ภาค 3 จากแฟรนส์ไชรส์ Maze Runner เรื่องราวของกลุ่มวัยรุ่นในโลกที่ล่มสลาย (Dystopia) ก็ได้ฤกษ์เข้าฉาย ซึ่งภาคนี้นอกจากจะเป็นภาคจบของแฟรนไชรส์แล้ว อาจยังถือเป็นหลักฐานชิ้นสุดท้ายที่บอกกับเราว่า ว่าครั้งหนึ่งการดัดแปลงวรรณกรรมวัยรุ่นเป็นหนังโดยเฉพาะ Dystopia เคยเป็นความหวังใหม่ของ Hollywood ซึ่ง Maze Runner นับว่าโชคดีที่ได้ทำต่อจนครบทั้งแฟรนไชรส์ ในขณะที่หลายๆ เรื่องช่วงหลังมักภาคเดียวจอด ไม่ก็โดนตัดจบโครงการไปดื้อๆ

สำหรับ Maze Runner: The Death Cure ดำเนินเรื่องต่อจากภาค 2 “Maze Runner: The Scorch Trails” แทบจะทันที โดยที่ไม่มีการเกริ่นอารัมภบทเรื่องราวต่างๆ ในภาคก่อนไว้เลย ใครที่ยังไม่ได้ดู 2 ภาคแรก อาจเกิดอาการงงแน่ๆ ว่าเรื่องมันเป็นมายังไงกัน ดังนั้น ทวนความจำกันหน่อย เรื่องราวของ Maze Runner เริ่มขึ้นจากกลุ่มวัยรุ่นที่ถูกจับไปขังในเขาวงกต ภายหลังที่พวกเขาบางส่วนหนีออกมาได้ (จบภาค 1) ก็รับรู้ว่าโลกข้างนอกนั้นเข้าขั้นล่มสลายไปแล้ว คนป่วยเป็น “ไข้วาบ” ที่ วงกตแท้จริงแล้วคือห้องทดลองขององค์กร “WCKD” (วิคเค็ด) ที่จับเอากลุ่มวัยรุ่นที่มีภูมิต้านทานมาทดลอง เพื่อค้นหาวิธีรักษาไข้วาบ แต่ความโหดร้ายที่ WCKD กระทำกับเหล่าหนูทดลอง ทำให้กลุ่มตัวเอกตัดสินใจหนี และไปรวมกับกลุ่มต่อต้าน ก่อนจะจบภาค 2 ด้วยการที่ 1 ในเพื่อนพระเอกโดนจับ และนางเอกเลือกทรยศกลุ่มพระเอกไปเข้ากับ WCKD

ส่วนภาค 3 คร่าวๆ ก็คือเรื่องราวการเผชิญหน้าครั้งสุดท้ายระหว่างกลุ่มของพระเอก (ผู้ที่หนีรอดจากวงกต+กลุ่มต่อต้าน) กับองค์กร WCKD

ผมชอบภาคแรกมากพอควร ทั้งในแง่ความสนุก ความตื่นเต้น จากการต้องเอาตัวรอดในพื้นที่จำกัด แถมไม่รู้ว่าจะมีอะไรโผล่อีก รวมทั้งสิ่งที่ได้ขบคิดจากเนื้อเรื่อง การเอาวัยรุ่นมาใส่ไว้ในเขาวงกต มีกลุ่มที่อยากออก มีกลุ่มที่กลัวการออกไป ไม่ต่างอะไรจากการจำลองชีวิตวัยรุ่น วัยที่เต็มไปด้วยความสับสน ความท้าทาย และความเสี่ยง ไม่ต่างจากเขาวงกต ที่พวกเขาต้องตัดสินใจว่าจะเลือกทางเดินใดให้ชีวิต ออกไปผจญภัยโดยที่โลกภายนอก (อนาคต) อาจไม่เป็นอย่างที่พวกเขาคิด หรืออยู่อย่างที่ตัวเองคิดว่าปลอดภัยในพื้นที่ Safe Zone ของตัวเอง

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวในภาค 2 เรื่อยมาจนถึงภาค 3 นั้น ว่าไปก็ดูเป็นการ “แถ” พอควร พยายามขยายสเกลออกไป หาเหตุผลต่างๆ มาใส่เพื่ออธิบายการคงอยู่ของวงกตในภาคแรก ซึ่งพอแถไประดับหนึ่งก็เหมือนจะตัน เรื่องราวนอกวงกตจึงดูไม่ได้มีอะไรพิเศษเหนือไปกว่าหนัง/นิยายแนวเดียวกันเรื่องอื่นๆ เท่าไหร่นัก ดังนั้น ในแง่ของความสดใหม่แล้ว ภาค 3 สู้ภาคแรกไม่ได้แน่ๆ อย่างไรก็ตาม ในแง่ของความสนุก ตื่นเต้น ลุ้นระทึกนัก ภาคนี้ทำได้ใกล้เคียงหรือเกือบจะพอๆ กับภาคแรก และดีกว่าภาค 2 พอควร

ถ้าภาคแรกเป็น Survivor ลุ้นระทึกเอาใจช่วยให้ตัวละครหนีรอดจากสิ่งต่างๆ ได้ ภาคนี้ก็แทบจะเป็น War เต็มตัว หนังมีฉาก Action ที่จังหวะค่อนข้างดีและลุ้นมาก ทั้งช่วงแรกของเรื่องที่ให้ความรู้สึกราวกับเป็น Fast and Furious อีกภาคนึง กับอีกซีนที่ชอบคือช่วงการบุกตึก WCKD ของกลุ่มพระเอก เพื่อช่วยเพื่อนรักที่โดนจับตัวไป มันอาจไม่ได้แปลกใหม่ แต่ ณ ช่วงเวลานั้นมันมอบความบันเทิงให้กับเราได้จริงๆ

อ่อ…ใครที่ชอบในเรื่องมิตรภาพของกลุ่มพระเอก (แน่นอนไม่รวมนางเอก) ซึ่งหลายคนถือว่ามันเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญสุดของ Maze Runner ฉบับหนัง 555 ภาคนี้ยังคงได้ฟินกันแน่นอน เคมีของ 3 นักแสดงนำ Dylan O’Brien, Thomas Brodie-Sangster และ Ki Hong Lee นั้นเข้ามันมาก จนตัวละครผู้หญิงในเรื่องแทบไม่มีที่ยืนกันเลยทีเดียว 555

อย่างไรก็ตาม Maze Runner: The Death Cure มันก็มีปัญหา “ใหญ่มาก” อยู่เหมือนกันที่ทำให้เราไม่สามารถรู้สึกสนุกได้สุดกับมันอย่างเต็มที่ นั่นคือความไม่ Make Sense ของบท และความ WTF ในการตัดสินใจของตัวละครในหลายๆ ครั้ง …จากนี้อาจมี Spoil… มีอย่างที่ไหนเมืองของ WCKD ที่โปรโมตกันว่าป้องกันอย่างแน่นหนา คนข้างนอกไม่มีทางได้เข้าไป แต่พวกพระเอกสามารถเข้าไปได้อย่างง่ายดาย แถมกำแพงเมืองยังเปราะบางยิ่งกว่าความมั่นคงบ้านเราอีก // พวกกลุ่มต่อต้าน WCKD ที่รู้ทางลับเข้าไปในเมืองตั้งนาน แต่เสือกไม่ทำอะไร // ตัวร้ายที่ยิงพวกเดียวกัน โดยที่เมิงไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นก็ได้ // ตัวละครที่เหมือนจะตายไปแล้วในภาคแรกก็กลับมาด้วยนิสัยที่แทบจะเปลี่ยนเป็นคนละคน ซึ่งหนังก็ไม่ได้พยายามอธิบายให้เคลียร์ว่า เป็นไปได้อย่างไร อาจเพราะไม่รู้จะแถยังไงมั้ง 555

หรืออย่างประเด็นความเป็นวัยรุ่นที่เคยเป็นจุดเด่นในภาคแรก จริงๅ ภาคนี้มันมีช่องทางให้เล่นได้นะ อย่างในเรื่องมุมมองการแก้ปัญหาเรื่องไข้วาบระหว่าง WCKD กับกลุ่มพระเอก ที่ว่าไปมันก็สะท้อนมุมมองความคิดที่แตกต่างระหว่างผู้ใหญ่กับวัยรุ่นเหมือนกัน แต่ก็เสียดายที่หนังก็ไม่ได้สนใจที่จะไปต่อในเรื่องนี้มากนัก

กระนั้น โดยสรุปแล้ว ถ้าไม่คิดอะไรมาก Maze Runner: The Death Cure ก็เป็นหนังที่ดูสนุกมากทีเดียว และถือว่าจบได้สวยกว่าหนังแนววัยรุ่นในโลก Dystopia หลายๆ เรื่อง ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหลังจากจบแฟรนไชรส์ Maze Runner ไป จะมีหนังเรื่องใดกลับมาดึงกระแสหนังแนวนี้ให้ได้รับความสนใจอีกครั้งหนึ่งอีก

Avatar photo
Latest posts by จุรีพร โนนจุ่น (see all)