[Review] Suicide Squad – วายร้าย..วายป่วง..

อันที่จริง “Suicide Squad” เป็นหนังที่ส่วนตัวรอคอยมากที่สุดในปีนี้ เพราะตัวหนังมีหน้าหนังที่ดูดี การตัดต่อที่น่าสนใจ นักแสดงก็ดึงดูด แถมยังเป็นครั้งแรกในยุคซุปเปอร์ฮีโร่ที่มีการนำ “ตัวร้าย” มาขึ้นจอเป็นตัวเอก ด้านผู้กำกับอย่าง “David Ayer” นั้นส่วนตัวก็เชื่อใจในระดับหนึ่ง เพราะยังชอบในความมันส์แบบใน “Fury” อยู่ คาดคาดหวังยิ่งทวีมากขึ้น เมื่อ “Batman v Superman” มีผลตอบรับที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ (ยังไม่มีโอกาสได้ดูแบบ Untimate Cut เลยบอกไม่ได้ว่าดีขึ้นจากฉบับฉายโรงแค่ไหน) ซึ่งใครติดตามผมมาก็คงพอรับรู้ได้เลาๆ ว่าผมค่อนข้างเอียงไปทาง DC และเอาใจช่วยทางฝั่งนี้อยู่ไม่น้อย (ต้องโทษ Batman ฉบับ Nolan ที่ทำให้เริ่มสนใจโลกของ DC) แต่ก็นั่นแหละหนังในยุคสมัยของ DCEU กลับพาเราไปไม่ถึงจุดที่คาดหวังสูงสุดได้สักเท่าไหร่

อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้หมายความว่า “Suicide Squad” เป็นหนังที่ย่ำแย่ จริงๆ แล้วมันเป็นหนังที่ค่อนข้างบันเทิงเลยทีเดียว (แม้ Trailer ที่ปล่อยออกมาจะดูบันเทิงกว่าตัวหนังจริงก็ตาม) หนังมีในสิ่งที่ BvS ไม่มี นั่นคือ “ความบันเทิง” ถ้าเรามองความบันเทิงในแง่ของการดูเข้าใจง่าย ไม่เคร่งเครียดมากเกินไป ตัวละครน่าสนใจ มีฉาก Action ให้พอลุ้น และความตลกให้หัวเราะ โดยรวมแล้ว ค่อนข้างเชื่อมั่นว่าคนดูที่ไม่ใช่แฟน DC น่าจะสนุกกับเรื่องนี้ได้ง่ายกว่าตอน BvS มาก แต่ขณะเดียว Suicide Squad ก็ไม่มีในสิ่งที่ BvS ดันมี นั่นคือ “ความลึกของเนื้อหา” มีหลายครั้งก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า “เล่นกันง่ายไปมั้ย” ทั้งที่การดึงเอาเหล่าวายร้ายเป็นตัวเอก น่าจะเป็นโอกาสให้หนังสามารถเล่นกับเนื้อหาได้มากกว่านี้ ปริศนาหลายอย่างในหนังพอเฉลยแล้วก็แบบ…แค่นี้เองเหรอ

Suicide Squad เล่าเรื่องในยุคโลกที่ไร้ Superman ดังนั้น “Amanda Waller” เจ้าหน้าที่รัฐบาล จึงเกิดคิดอยากจะรวบรวมวายร้ายสร้างเป็นหน่วยเฉพาะกิจขึ้นมา เผื่อว่าอนาคตมีอะไร ก็จะได้ส่งทีมนีไปจัดการ แต่ถ้าเกิดมีไรผิดพลาดก็โยนความผิดและตัดหางปล่อยวัดได้ไม่ยาก เพราะพวกนี้ถูกสังคมมองว่าเป็นตัววายร้ายอยู่แล้ว จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์บางอย่างใน Midway City จึงเป็นโอกาสให้ทีม Suicide Squad ที่ประกอบด้วย “Deadshot” “Harley Quinn” “Captain Boomerang” “El Diablo” “Killer Croc” และ “Sliplnot” โดยมี “Rick Flagg” กับ “Katana” เป็นผู้คุมปฏิบัติการครั้งนี้

เนื้อเรื่องมันก็มีแค่นั้นแหละ รวมทีมวายร้ายไปสู้กับวายร้ายกว่า โดยมีคำขู่ว่าหากคิดหนี ระเบิดที่ฝังไว้ในหัวแต่ละคนก็จะ…ตู้ม…แน่นอนมีตัวอย่างแสดงให้เห็น (เดาไม่ยากว่าใคร) ด้วยความที่เส้นเรื่องไม่กว้าง ทำให้หนังเลือกเสริมเรื่องราวด้วย Flashback และ Subplot เกี่ยวกับตัวละครเข้าไปแทน แต่ด้วยความที่ทีมมีหลายคน จึงเป็นไปได้ยากที่จะแบ่งสรรเวลาให้ทัดเทียมกัน เลยมีบางตัวละครที่จะมี Air-time เยอะกว่าชาวบ้านเป็นพิเศษ ถ้าแบ่งเป็นกลุ่มๆ ก็เป็น

กลุ่มอภิสิทธิ์ชน…กลุ่มนี้ได้ Air-time เยอะ มีการให้ Flashback ตัวละครที่ค่อนข้างละเอียด เพื่อให้รู้ว่าตัวละครมีความเป็นมายังไง นิสัยยังไง และเคยทำไรไว้บ้าง กลุ่มนี้ได้แก่ Deadshot และ Harley Quinn (Joker โผล่มาในส่วนของ Flashback และ Subplot ของ Harley นี่แหละ) นอกจากนี้ยังรวมไปถึง Amanda และ Rick Flagg ด้วยที่บทเยอะไม่แพ้กัน

กลุ่มชนชั้นกลาง…พอจะมีเรื่องราวของตัวเองอยู่บ้าง มีซีนให้โชว์ของอยู่ แต่ก็ไม่ได้เยอะเท่าพวกอภิสิทธิ์ชน กลุ่มนี้ได้แก่ El Diablo, Killer Crog และ Enchantress (อาจรวม Joker เข้าไปในกลุ่มนี้ด้วยก็ได้ เพราะบทไม่ได้เยอะมาก แต่ก็มีซีนขายหลายซีนอยู่)

กลุ่มชนชั้นล่าง…Air-time ค่อนข้างน้อย และไม่ค่อยมีบทบาทกับเนื้อเรื่องเท่าไหร่ คือจะมีหรือไม่มีก็ได้ ซีนขายก็ไม่โดนเด่นเท่าไหร่ ได้แก่ Captain Boomerang กับ Katana รวมไปถึงบอสรองของเรื่องนี้ ที่จืดจางยิ่งกว่าตอน Doomsday ใน BvS เสียอีก

กลุ่มกลับบ้านเถอะ…ตัวประกอบอย่างแท้จริง ได้แก่ Slipknot รวมถึงตัวละครของ Scott Eastwood และ Common ที่ก่อนฉายมีคนวิเคราะห์กันไปต่างๆ นานา ว่าต้องเป็นตัวละครลับสำคัญแน่ๆ แต่พอเปิดออกมาแล้วก็…อืม

อย่างไรก็ตาม การที่ Air-time ของแต่ละคนไม่เท่ากันนั้นไม่ใช่ปัญหาเท่าไหร่ หรือการที่หนังไปเน้น Flashback ของบางตัวละครมากเกินไป ก็เป็นเรื่องที่รับได้ เพราะข้อดีของมันก็คือ ทำให้เรารู้จักตัวละครนั้นๆ ได้ดียิ่งขึ้น และเกิดการอยากติดตามต่อหากตัวละครนั้นมี Spin-off ต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะ Deadshot, Harley Quinn และ Amanda ที่ Present ตัวละครออกมาได้ดีจริง ดังนั้น การมี Flashback ไม่ใช่เรื่องแย่ แต่ปัญหาคือ Flashback เหล่านั้นถูกใช้เพื่อแนะนำตัวละครมากกว่า Support เนื้อเรื่องหลักนี่สิ

สำหรับใครที่เป็นแฟน DC Comics แบบเดนตายแล้ว โดยเฉพาะแฟนๆ ของ “Joker” มีความรู้สึกส่วนตัวว่าอาจไม่ค่อยชอบเรื่องนี้เท่าไหร่ เพราะแม้เรื่องนี้จะให้ภาพ Joker ที่แปลกใหม่กว่าเวอร์ชั่นก่อนๆ คือหนักไปในทางเจ้าพ่ออาชญกรรมใต้ดิน แต่ยังไม่สามารถทำให้เราเห็นถึงความน่ากลัวและคาดเดาไม่ได้ของตัวละครนี้ ถ้า Batman คือเจ้าพ่อของการวางแผน Joker คือเจ้าพ่อของการไม่วางแผน นั่นทำให้ทั้ง 2 เป็นคู่ปรับที่ห้ำหั่นกันมาเป็นเวลานาน แต่ Joker ในเรื่องนี้กลับดูเป็น Joker ที่เต็มไปด้วยแผนการ แต่ทำแผนไม่สำเร็จด้วยนี่สิ อย่างไรก็ตาม ถ้าจะมีอะไรที่ชอบใน Joker คนนี้ก็คือ เคมีระหว่าง Joker และ Harley Quinn นั้นดีงามมาก และ Joker เวอร์ชั่นนี้นั่นเท่จริงๆ อันนี้ยอม

ด้วยเหตุผลตามที่ว่ามา ทำให้ Suicide Squad ไปไม่สุดเท่าที่ตัวอย่างหนังเคยทำไว้ กระนั้น ส่วนตัวก็ให้คะแนนเรื่องนี้เหนือกว่า BvS (ฉบับฉายโรง) และคิดว่าคนดูทั่วไปก็น่าจะสนุกไปกับหนังเรื่องนี้ได้ (แม้อาจไม่ถึงขั้นชื่นชอบ) เพราะหนังสร้างความประทับใจแรกพบได้ดีกว่า BvS และพวกมุขตลกร้าย (ออกไปในทาง Deadpool แต่ซอฟท์กว่า และเข้าใจได้ง่ายกว่า) ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการต่อปากต่อคำของตัวละคร มันตลกได้ใจจริงๆ โดยเฉพาะ Deadshot ที่แม้จะรู้สึกว่านี่คือ Will Smith เล่นเป็น Will Smith ก็ตาม แต่การมีแกอยู่ในหนัง ช่วยสร้างอารมณ์ขันร้ายๆ ให้กับหนังมากทีเดียว ไม่นึกว่าจะได้หัวเราะกับหนัง DC อีกครั้ง

ส่วนตัวยังชอบความเป็นทีมของ Suicide Squad ที่ดูไม่เป็นทีมเท่าไหร่ เพราะเป็นพวกวายร้ายที่ถูกจับมารวมๆ กัน มันเลยเป็นทีมที่พร้อมจะสร้างความวายป่วงให้กับทั้งผู้อื่นและตัวเอง เป็นเคมีทีมที่แปลกดี แต่ก็อีกนั่นแหละ เราชอบในความวายป่วงของทีม แต่ไม่ได้ชมชอบในความวายป่วงของเนื้อเรื่องหรอกนะ

มองภาพรวม DCEU ตอนนี้แล้ว ทั้ง BvS และ Suicide Squad แม้จะสามารถสร้างคาแรกเตอร์ตัวละครที่น่าสนใจ แต่ในด้านเนื้อหาแล้วกลับยังทำได้ไม่ดีนัก และดูจะมีปัญหาเรื่องการตัดต่อลำดับเรื่องราวทั้งสองเรื่อง คงต้องเป็นโจทย์ของ Warners และ DC ว่าจะทำยังไงต่อไป หรือคิดอีกที ไม่ต้องทำอะไรเลยจะดีกว่า แล้วปล่อยให้ผู้กำกับแต่ละเรื่องได้ทำอะไรตามที่อยากทำจริงๆ สักที

Share

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

Avatar photo
Latest posts by จุรีพร โนนจุ่น (see all)