[Review] The Mummy – จงลืมว่ามันคือหนัง Mummy

บางทีการจะดู “The Mummy” เวอร์ชั่น 2017 ให้สนุกที่สุด คือการลืมว่ามันคือหนัง Mummy แต่มองมันเป็นหนัง Action ฮีโร่ไฝว์สัตว์ประหลาดเรื่องหนึ่ง ยิ่งถ้าใครเคยดู The Mummy เวอร์ชั่น 1999 (รวมถึงภาคต่อและภาคแยกจากเวอร์ชั่นนี้) ให้ยิ่งสลัด Mummy เหล่านั้นออกจากหัวเลย เพราะไม่อย่างนั้น “คุณอาจจะยิ่งผิดหวังมากขึ้นอีก”

สำหรับใครหลายคน “Mummy” ไม่ใช่แค่ผีหรือเรื่องสยองขวัญ แต่มันมาพร้อม “ความลึกลับ” ปริศนาที่ดูน่ากลัว แต่ก็เชื้อเชิญให้เราเข้าค้นหา รวมถึงมนตร์สเน่ห์แห่งดินแดน “ไอยคุปต์” หนัง The Muumy เวอร์ชั่น 1999 ซึ่งทำให้ออกมาในเชิงหนังผจญภัย ตอบโจทย์นี้ได้อย่างดี คนดูค่อยๆ ไขปริศนาและความลึกลับไปกับตัวละคร แต่สิ่งเหล่านี้แทบไม่พบเลยในหนัง The Mummy เวอร์ชั่น 2017 เลย เหมือนหนังตีโจทย์แค่ว่า Mummy = ปีศาจ ดังนั้น แค่ขายฉาก Action โชว์พลัง กับตุ้งแช่หน่อยให้ดูตกใจเล่นๆ ก็น่าจะพอ ไหนๆ เราก็ได้ “Tom Cruise” มาเล่นแล้ว เท่านี้ก็สบายใจละ

และเพราะไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ Zombie ฮิตกว่าหรือเพราะผู้กำกับขาดการเข้าใจในเอกลักษณ์ของ Mummy อย่างถ่องแท้ ทำให้ Mummy ในเรื่องดูออกมาเป็น “Zombie” มากกว่า “Mummy” โดยเฉพาะพวกลูกกระจ๊อกทั้งหลาย ขณะที่ Mummy ตัวร้ายหลักของเรื่องก็ชวนให้นึกถึงนแม่มดจาก Power Rangers เสียอย่างนั้น

The Mummy เวอร์ชั่น 2017 จึงล้มเหลวในการเป็นหนัง Mummy แต่สมมติเราแกล้งลืมไปชั่วคราว และให้คิดว่านี่เป็นหนัง Action Zombie เรื่องหนึ่ง ก็น่าจะดูสนุกเพลินๆ ได้ หนังมีเนื้อหาที่ไม่ซับซ้อน เดาทางได้ง่าย และพยายามยัดฉาก Action ทำลายล้างมาติดๆ ให้เราตื่นตา ถือว่าไม่น่าเบื่อ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับติดใจอะไร เพราะฉาก Action ก็ไม่ได้มีอะไรถึงกับต้องร้องว้าวออกมา รวมถึงการที่หนังพยายามเน้นไปที่ Action ทำให้ไม่มีเวลาให้รายละเอียดตัวละครเพียงพอ เราจึงไม่อินกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวละครช่วงท้ายเรื่อง ที่สำคัญเมื่อหนังไม่ได้ให้รายละเอียดตัวละครมากนัก ทำให้ความเป็น Tom Crusie ยิ่งเด่นชัดมากขึ้นไปอีก เป็น Mission Impossible เวอร์ชั่นตะลุยซอมบี้ไปซะงั้น

มองในแง่การเป็นเปิดจักรวาล ที่ Universal ตั้งใจให้เรื่องนี้เป็นหนังบุกเบิก “Dark Universe” จักรวาลที่รวบรวมอสุรกายของค่ายเอาไว้ ก็เป็นการเปิดที่ทุลักทุเลพอควร เพราะมันไม่ได้ทำให้เราสนใจใคร่รู้ในอสุรกายตัวอื่นๆ สักเท่าไหร่ ทิศทางของจักรวาลนี้ก็ยังดูไม่ชัดเจน จะมีการรวมกลุ่มหรือไม่ จะมีศึกใหญ่หรือไม่ หรือแค่ Crossover เป็นบางเรื่องเฉยๆ ว่าไปแล้ว “Dracular Untold” ดูจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในการเปิดจักรวาลนี้กว่าเสียอีก เพราะนอกจากเนื้อเรื่องจะปลายเปิดไว้แล้ว อย่างน้อย Dracular Untold ยังให้ความรู้สึกของ “ความลึกลับ” ที่น่าจะดันเป็น Theme หลักของจักรวาลได้ด้วยซ้ำ จุดที่แย่กว่าก็คงมีเพียงแค่ Luke Evans ไม่ได้มีพลังดารามากเท่า Tom Cruise

Dark Universe ตอนนี้07’เหมือนอยู่กึ่งกลางระหว่างจักรวาลสัตว์ประหลาด “Monsterverse” กับจักรวาลสยองขวัญ “James Wan’s Universe” แต่เป็นกึ่งกลางที่ยังสับสนตัวเองอยู่ คงต้องดูเรื่องต่อไปว่าหนังจะวางทิศทางจักรวาลได้ดีแค่ไหน หรือจะเป็นเพียงแค่จักรวาลที่ให้ความสำคัญกับการดึงดาราเบอร์ใหญ่ๆ มาเล่นเพื่อขายตลาดต่างประเทศแค่นั้น

Previous article[Review] Pirates of the Caribbean: Salazar’s Revenge – เคยไม่อินอย่างไร ก็ยังไม่อินอย่างนั้น
Next article[Review] Kiseki: Sobito of That Day – หมอรักษาคน ดนตรีรักษาใจ

Avatar photo
Latest posts by จุรีพร โนนจุ่น (see all)