[Review] Wonderstruck – วิวข้างทางก็สวยดี แต่จะพาอ้อมโลกเพื่อ… 

ปี 1977 “Ben” (Okkes Fegley) เด็กชายที่เพิ่งสูญเสียแม่จากอุบัติเหตุ และตัวเองก็เพิ่งโดนฟ้าผ่าจนทำให้สูญเสียการได้ยิน ตัดสินหนีออกจากบ้านไปนิวยอร์คด้วยตัวคนเดียว เพื่อตามหาพ่อแท้ๆ ของเขา ด้วยเบาะแสที่มีอยู่เพียงน้อยนิด 
 
อีกฟากหนึ่งของเวลา ณ ปี 1927 “Rose” (Millicent Simmonds) เด็กสาวหูหนวกซึ่งถูกพ่อเคี่ยวเข็ญด้วยวิธีต่างๆ เพื่อให้พูดได้ ก็ตัดสินใจหนีออกบ้านไปนิวยอร์คเช่นกัน เพื่อไปพบกับแม่ของเธอ ที่ขณะนี้เป็นดาราใหญ่ที่คนรู้จักไปทั่ว 
 
“Wonderstruck” ใช้กลวิธีเล่าเรื่องราวตัดสลับ 2 Timeline ไปมากันได้อย่างสอดประสานกลมกลืน สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ อีกช่วงเวลาหนึ่งก็กำลังเผชิญสิ่งคล้ายๆ กัน การตัดต่อถือเป็นตัวเอกของเรื่องนี้ แล้วยิ่งใน Part ปี 1927 หนังเลือกใช้เทคนิคการเล่าแบบหนังเงียบขาวดำ เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกของคนที่หูหนวก แถมยังเข้ากับช่วงเวลาขณะนั้นที่ยังอยู่ในช่วงยุคหนังเงียบขาวดำ (แม้จะเป็นช่วงปลายแล้วก็ตาม) นอกจากนี้ ในส่วนของเพลงและดนตรียังมีหยิบเอา “Space Oddity” ของ David Bowie มาใช้ในหลายๆ ครั้ง ทั้งหมดเป็นเทคนิคที่ทำให้การเล่าเรื่องของ Wonderstruck ช่างมีเสน่ห์ น่าติดตาม แบบที่ต้องร้องว่า..หูย..ดีอะ

 
 
กระทั่งเมื่อหนังเดินทางมาถึงบทสรุป ทุกอย่างที่สร้างมาก็เหมือนถูกโยนทิ้งลงเหวเสียอย่างนั้น 
 
บทสรุปของ Wonderstruck ทำให้เพิ่งตระหนักว่า เฮ้ย!!! ที่ผ่านมาแกพาเราอ้อมนี่หว่า… ประมาณว่า จากกรุงเทพฯ ไปพัทยา แต่พี่แกพาเราไปชมวิวที่เชียงใหม่ก่อน ต่อที่ขอนแก่น โคราช แล้วค่อยเข้าเมืองชล คือ โอเควิวข้างทางมันก็สวยดีนั่นแหละ เพลงที่เปิดในรถก็เพราะดี แต่จะอ้อมทำเพื่อ!!! 
 
อย่างไรก็ตาม ว่าไปถ้าหนังไม่พาเราอ้อมโลกไปเสียขนาดนั้น หนังอาจจบในเวลาไม่ถึง 20 นาทีก็ได้ เพราะปมดราม่าหรือความลับต่างๆ ที่หนังพยายามบิ้วท์มาตลอดเรื่อง พอบทจะเฉลยจริงๆ กลับ “ไม่มีอะไรเลย” ยิ่งช่วงท้ายที่หนังพยายามเร่งเครื่องเพื่อให้ถึงที่หมายโดยเร็ว ทั้งประเด็นเรื่องการตามหาพ่อ (ดูจบแล้วไม่เข้าใจว่าแม่จะปิดความลับเรื่องพ่อไปเพื่ออะไร) การใช้ชีวิตของคนหูหนวก มิตรภาพระหว่างเพื่อน ไปจนถึงความผูกพันกับสถานที่ ซึ่งในเรื่องคือ “พิพิธภัณฑ์” ถูกจับยัดเข้ามาผสมรวมกันอย่างเร่งด่วน จนเราไม่อินกับอะไรสักอย่าง

 
สิ่งที่เสียดายที่สุดคือใน Part ปี 1927 ที่หนังเลือกเล่าแบบหนังเงียบขาวดำ มันเป็น Part ที่มีเสน่ห์และดึงดูดมาก แต่บทสรุปของเรื่องทำให้เทคนิคเหล่านี้ดูไม่ได้มีความหมายอะไรไปมากกว่าแค่การโชว์ของของผู้กำกับอย่างเดียว  
 
โดยสรุปคือค่อนข้างผิดหวังกับบทสรุป แต่ก็อย่างที่บอก วิวระหว่างทางมันสวยดี ดังนั้น คะแนนที่ให้ก็ให้กับวิวข้างทางนั่นแหละครับ

 

Previous article[Review] Maze Runner: The Death Cure – ถึงจะ WTF อยู่บ้าง แต่ก็บันเทิงเริงใจมากทีเดียว

Avatar photo
Latest posts by จุรีพร โนนจุ่น (see all)