[Review] World War Z – ‘แบรด พิตต์’ วิ่งหนีซอมบี้

1. จากหนังสือสู่หนัง

 

หนังซอมบี้ (Zombie) ยังคงขายได้เสมอ อย่างน้อยก็ในสายตาสตูดิโอ Hollywood ด้วยเหตุนี้ War World Z (อ่านว่า เวิลด์ วอร์ ซี และไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ Dragonball Z) หนังซอมบี้วันสิ้นโลกเรื่องล่าสุดจึงออกมาให้ได้ชมกัน หนังเคลมตัวเองว่าแตกต่างจากหนังซอมบี้อื่นๆ ตรงที่เรื่องนี้สเกลใหญ่กว่า ยิ่งใหญ่กว่า พื้นที่ระบาดที่กระจายไปทั่วโลก และสำคัญที่สุดคือ หนังยังได้ Brad Pitt มารับบทตัวเอก Gerry Lane ของเรื่อง ซึ่งเหตุผลส่วนหนึ่งก็คือ พี่แกเป็นเจ้าของบริษัท Plan B ที่ทำหนังเรื่องนี้ และตัวแกเองนี่แหละที่ฟาดฟันกับผู้สร้างอีกหลายคนจนได้ลิขสิทธิ์หนังสือ World War Z มาทำเป็นหนังจนได้

ตัวหนัง World War Z สร้างจากหนังสือขายดีชื่อเดียวกัน ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นนิยายซอมบี้ที่ดีที่สุดเล่มหนึ่ง ด้วยเอกลักษณ์การเล่าเรื่องแบบการสัมภาษณ์หลากหลายผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ซอมบี้ถล่มโลก ฟังดูน่าสนใจดี แต่จะดีจริงหรือเปล่าไม่แน่ใจ เพราะตัวผมเองก็ไม่เคยอ่านฉบับหนังสือมาก่อน รู้แต่เพียงว่า ผู้สร้างประกาศอย่างชัดเจนว่า World War Z ฉบับหนังจะดำเนินเรื่องไม่เหมือนหนังสือ ขณะที่คนที่อ่านนิยายเรื่องนี้มาแล้ว ก็บอกเป็นเสียงเดียวว่า แทบจะเป็นเรื่องใหม่ไปเลย เพียงแค่เอาชื่อหนังสือมาใช้ก็เท่านั้น

2. ตามหาร่องรอย

 

เมื่อหนังไม่ได้ดำเนินเรื่องตามหนังสือ จึงต้องสร้างเรื่องราวใหม่ของตัวเองขึ้นมา ซึ่งเหตุการณ์ใน World War Z ฉบับหนัง จะว่าไปก็ไม่ได้แตกต่างจากหนังซอมบี้เรื่องอื่นๆ มากนัก หนังเริ่มต้นด้วยการระบาดของโรคชนิดหนึ่ง ที่ทำให้คนธรรมดากลายเป็นซอมบี้ไปทั้งเมือง ระบบสังคมล่มสลาย แต่ก็มีผู้รอดชีวิตจำนวนหนึ่ง ซึ่งรวมถึงตัวเอก ที่ต้องหาทางยับยั้งและหาทางกำจัดเชื้อร้ายนี้ไปให้ได้

เห็นได้ว่าพล็อตแบบ World War Z จัดว่าเป็นพล็อตคลาสสิคของหนังแนวนี้เลยก็ว่าได้ แต่หนังก็พยายามสร้างความแตกต่างให้กับตัวเอง ด้วยการโชว์งานสร้างที่ยิ่งใหญ่ หนังพาเราตระเวนไปตามสถานที่และประเทศต่างๆ ให้สมกับชื่อ Wold War ขณะที่ซอมบี้ก็มีเป็นหมื่นเป็นแสนตัว แต่แค่นั้นมันคงไม่พอสักเท่าไหร่ เพราะเอาเข้าจริง แม้ซอมบี้ในเรื่องจะเยอะ แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวเลยแม้แต่น้อย

สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นจุดเด่นของเรื่องจริงๆ กลับเป็นการแทรกเรื่องสืบสวนเข้าไปในเรื่อง ผ่านภารกิจของตัวเอก “Gerry Lane” จนท.สืบสวนของสหประชาชาติ ที่ต้องเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อสืบหาต้นตอการเกิดโรค และหาวิธียับยั้งให้ได้ การรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์และสังเกตคือความสามารถอันเป็นเอกลักษณ์ของ Lane และทำให้หนังดูมีอะไรด้วย แต่น่าเสียดายที่ทั้งเรื่อง World War Z ไม่ได้เน้นตรงนี้นัก กลับไปเน้นฉาก Action ซอมบี้ถล่มเมืองแทน ยังดีที่ช่วยท้ายกลับมาเน้นเรื่องอารมณ์ ทำให้ช่วงท้ายแม้ดูไม่ยิ่งใหญ่เท่าช่วงต้น แต่เป็นทางออกที่ค่อนข้างโอเคเลยทีเดียว

3. ซอมบี้เจ้าลมกรด

ในช่วงต้นเรื่องมีการอธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นใน World War Z โดยเน้นภาพสัตว์อย่างมดหรือแมลงเป็นพิเศษ ซึ่งคงเป็นความตั้งใจของตัวหนัง เพราะซอมบี้ในเรื่องนี้ไม่ต่างจาก “ฝูงมด” ที่ “วิ่งเร็ว” เนื่องจากมักเคลื่อนที่เป็นฝูง และพากันกรูเข้าหาเหยื่ออย่างรวดเร็วเหมือนมดรุมกินอาหาร แม้แต่ในสถานที่ที่ยากเข้าถึง ก็ยังพยายามต่อตัวจนเข้าไปได้ แถมยังวิ่งกันเร็วมากแบบที่ Usain Bolt ยังต้องอาย แต่ขณะเดียวกันซอมบี้เรื่องนี้ก็ยังคล้ายๆ เรื่องอื่นตรงที่แพร่เชื้อผ่านการกัด และโดนยิงที่หัวก็ตาย

ปัญหาคือ แม้จะมีการออกแบบซอมบี้ให้ดูแตกต่างจากเรื่องอื่น แต่กลับดูไม่น่ากลัวนัก การมาเป็นฝูงอาจดูยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกหวาดหวั่นสักเท่าไหร่ เช่นเดียวกับการวิ่งเร็วก็ไม่ค่อยเสริมให้พวกน่ากลัวขึ้นสักเท่าไหร่ หลายๆ ฉากพอถ่ายใกล้ๆ หรือเจาะไปที่ซอมบี้ทีละตัว กลับเกิดอาการขำเสียอย่างนั้น ส่วนหนึ่งคงเพราะหนังต้องการได้เรทต่ำๆ เพื่อให้เข้าถึงคนได้มากขึ้น เลยตัดทอนส่วนที่น่ากลัวและฉากแหวะๆ ต่างๆ ออกไปเสียหมด ฉากคนโดนกัดจะๆ ก็น้อย เช่นเดียวกับฉากเลือดที่มีน้อยเช่นกัน อีกอย่างคงเพราะ World War Z ยังไม่สามารถสื่อถึงความสิ้นหวังได้สักเท่าไหร่ ครอบครัวตัวเอกยังอยู่กันพร้อมหน้า ไม่ได้รู้สึกสูญเสียอะไร แถมยังรู้สึกว่า อืม…สิ้นหวังทำไม อย่างน้อยก็มีเรือให้หลบได้ละนะ

4. แบรต พิตต์

ปฏิเสธไม่ได้ว่า การที่ World War Z ได้ Brad Pitt มาแสดงนำ ช่วยให้หนังได้รับความน่าสนใจมากขึ้นทีเดียว เพราะนอกเหนือจากความดังของแก การรับบทนำครั้งนี้ ยังเป็นโอกาสที่ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นแบรต พิตต์ ในหนัง Blockbuster เพราะหลังๆ พี่แกจะเน้นไปทางหนังนอกกระแสหรือดราม่าเสียเป็นส่วนใหญ่ เรื่องฝีมือคงไม่มีข้อกังขา พี่ Brad ทำได้ดีอยู่แล้ว และพิสูจน์ให้เห็นว่า เขาสามารถแบกหนังซัมเมอร์เรื่องนี้ได้ด้วยตัวเขาเอง แถมทรงผม หนวดเครา และแฟชั่นผ้าพันคอของพี่แก ยังทำให้ตัวละคร Lane ดูเท่มากในเรื่อง ถือเป็นนักแสดงอีกคนที่ยิ่งแก่ยิ่งดูดี

แต่การที่บทเทไปที่ Gerry Lane มากเกินไป ก็ทำให้ตัวละครอื่นจมหายไปกับเรื่อง หลายๆ อย่างที่เป็นความสัมพันธ์ของตัวละครระหว่าง Lane เลยดูไม่ค่อยอินเท่าไหร่ โดยเฉพาะครอบครัวของ Lane ที่เหมือนจะสื่อว่ารักกันมาก แต่พอช่วงหลังๆ บทก็แทบหายไปเลย ไม่รวมถึงบางตัวละครที่เหมือนจะมีบทกว่านี้ สามารถเล่นได้มากกว่านี้ แต่ก็ไม่ได้กล่าวถึงเลย โดยเฉพาะเด็กที่มาอยู่กับครอบครัว Lane เพราะพ่อแม่ตนเองถูกซอมบี้กัดตายไปแล้ว

 5. สหประชาติ

สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้จาก World War Z คือหนังพยายามเน้นความเป็น World นอกเหนือจากการเดินทางไปตามที่ต่างๆ การที่ตัวเอกเป็นเจ้าหน้าที่สหประชาติ แถมมีภรรยาเป็นคนอังกฤษ สหประชาติและองค์อนามัยโลกเ็ป็นองค์กรที่มีบทบาทหลักในเรื่อง ยังเป็นการพยายามสร้างความเป็นนานาชาติ และลดการโปรอเมริกันแบบหนังวันสิ้นโลกเรื่องอื่นๆ ที่สหรัฐฯ จะเป็นผู้กอบกู้โลกในที่สุด (แต่เอาเข้าจริงตัวเอกก็ยังเป็นอเมริกันนั่นแหละ) นัยหนึ่งคงเพื่อให้หนังเข้าถึงตลาดต่างๆ ทั่วโลกได้มากขึ้น ซึ่งก็น่าจะได้ผลอยู่ แต่เอาเข้าจริง World War Z ก็ยังสามารถ World ได้มากกว่านี้อีก ยังมีเรื่องราวในอีกหลายประเทศที่น่าสนใจและไม่ถูกกล่าวถึงเลยในหนัง อย่างจีน ญี่ปุ่น นี่ก็ไม่มีพูดถึงเลยว่าจัดการกันอย่างไร แต่ก็เห็นว่ามีโครงการจะสร้างภาคต่อ ก็ไม่รู้จะต่อยอดเรื่องราวไปยังที่และแง่มุมอื่นๆ ได้อีกหรือป่าว…คงต้องติดตามกัน

6. สรุป

 

World War Z อาจไม่ใช่หนังซอมบี้ที่แตกต่างจากเรื่องอื่นมากนัก บทอาจไม่ลึกอะไรมากมาย แต่ก็อย่างน้อยก็ยังพอจะสร้างความบันเทิงให้กับเราได้อยู่ ที่สำคัญยังได้ Brad Pitt มารับบทนำด้วย

“ถ้าอยากดูหนังซอมบี้ ไปดูเรื่องอื่นก็ได้ แต่ถ้าอยากดู Brad Pitt วิ่งหนีซอมบี้ ต้อง World War Z เท่านั้น”

ความชอบส่วนตัว: 7/10 

Avatar photo
Latest posts by จุรีพร โนนจุ่น (see all)