[Review] Murder on the Orient Express – บางครั้งผู้กำกับก็ควรจะแค่กำกับ

มีดาราหลายคนที่ผันตัวมาเป็นผู้กำกับ และก็มีผู้กำกับหลายคนที่มีฝีไม้ลายมือทางการแสดงเช่นกัน “Kenneth Branagh” ก็เป็นอีกคนที่ดูจะทำได้ดีทั้ง 2 ด้าน มีหลายเรื่องที่เขาควบทั้งตำแหน่งนักแสดงนำและผู้กำกับ รวมถึงงานล่าสุดอย่าง “Murder on the Orient Express” เพียงแต่เรื่องนี้คงต้องบอกน้า Kenneth ตามตรงว่า “กำกับอย่างเดียวน่าจะดีกว่านะน้า”

“Murder on the Orient Express” สร้างจากนวนิยายชื่อดังของ “Agatha Christie” ผู้ได้รับการยกย่องเป็นราชีนีแห่งนวนิยายสืบสวนสอบสวน โดยเป็นเรื่องราวของ “Hercule Poirot” นักสืบชื่อดัง ผู้มีหนวดอันเป็นเอกลักษณ์ ชมชอบความสมบูรณ์แบบ และมีจุดเด่นวิธีการสืบสวนด้วยการวิเคราะห์จิตวิทยารวมถึงแรงจูงใจของคนร้าย ซึ่งคดี Murder on the Orient Express นี้ Poriot ต้องเจอกับคดีฆาตกรรมนักค้างานศิลป์บนรถไฟโดยสาร ผู้โดยสารทุกคนบนขบวนตกเป็นผู้ต้องสงสัย และทุกคนก็ดูเหมือนจะมีความลับบางอย่างที่ไม่กล้าบอก แล้วใครกันแน่คือคนร้าย..ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว (นั่นมันโคนันละ)

ความยากของการเอานิยายสืบสวนมาทำเป็นหนังคือด้วย ตอนอ่านเป็นหนังสือเราจะรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักสืบคนหนึ่ง ค่อยๆ หาคำตอบปะติดปะต่อเรื่องราว ซึ่งแต่ละคนจะใช้เวลาไม่เท่ากัน แต่พอมาทำเป็นหนังด้วยข้อจำกัดระยะเวลา ทำให้ทุกอย่างเหมือนโดนบีบอัดลงมา ยิ่งตัว Murder on the Orient Express มีตัวผู้สงสัยค่อนข้างเยอะ ซึ่งตัวหนังก็พยายามให้เวลากับทุกคนอย่างเท่าเทียม แต่ก็กลายเป็นว่าไม่สามารถลงลึกกับแต่ละคนได้มากเช่นกัน เหมือนพาเรามาทำความรู้จักคนนี้ แป๊ปๆ แล้วก็พาไปหาคนอื่นต่อเลย

การไม่สามารถลงลึกตัวละครได้เท่าที่ควรนี่สำคัญเหมือนกัน เพราะคดีใน Murder on the Orient Express จุดเด่นไม่ใช่ว่า ใครทำ หรือทำยังไง แต่เป็น “ทำทำไม” ต่างหาก ซึ่งเรื่องนี้ก็มีแรงจูงใจในการฆาตกรรมที่น่าสนใจมาก เพียงแต่พอหนังไม่สามารถลงลึกตัวละครได้ เราก็เลยแค่ทราบว่าฆาตกรทำไปทำไม แต่เรายังไม่สามารถรับรู้อารมณ์ที่เป็นต้นเหตุของแรงจูงใจเหล่านั้นได้มากพอ ซึ่งถ้ามันส่งมามากกว่านี้ ประเด็นท้ายเรื่องที่ Poirot นักสืบผู้โดดเด่นด้านการวิเคราะห์แรงจูงใจ ต้องเลือกว่าเขาจะทำยังไงกับตาชั่งคุณธรรมของเขา หลังจากรู้ความจริงทั้งหมด น่าจะทรงพลังถึงคนดูได้มากกว่านี้

อย่างไรก็ตาม จุดที่ทำร้ายหนังที่สุดจริงๆ ก็คือ ตัว “Kenneth Branagh” ผู้กำกับที่กระโดดมารับบท “Hercule Poirot” ด้วยนั่นเอง สำหรับหนัง/นิยายแนวนักสืบแล้ว ถ้าคาแรกเตอร์ของนักสืบไม่ดึงดูดพอ มันก็พังไปครึ่งนึงแล้ว ไม่รู้ว่าตัว Hercule Poirot ในนิยายเป็นไง แต่ในหนังเราไม่เห็นความโดดเด่นหรือน่าจดจำในตัวนักสืบคนนี้เลย นอกเหนือจาก “หนวด” ซึ่งก็เห็นชัดๆ ว่าหนวดปลอม และมันดึงดูดสายตาจนทำให้เรามองทุกอย่างปลอมไปด้วย

Kenneth ยังทำให้บุคลิกของ Poirot ค่อนข้างแปลกประหลาด ในบางช่วงเขาเป็นคนเจ้าระเบียบที่ชอบความสมบูรณ์แบบ แต่ถัดจากนั้นก็ดูจะเปลี่ยนเป็นคนอารมณ์ร้อน กระโชกโฮกฮาก และไม่สนใจกับความสมบูรณ์แบบอีกแล้ว อารมณ์ชันหรือความเย่อหยิ่งส่วนตัวของ Poirot แทนที่จะทำให้เขาดูพิเศษ กลับทำให้ดูน่าหมั่นไส้แทน

บางครั้ง Kenneth Brangah อาจต้องยอมรับว่าเราไม่สามารถทำอะไรหลายอย่างได้พร้อมกัน อย่างเรื่องนี้ที่เขาน่าจะกำกับอย่างเดียวดีกว่า เพราะถึงแม้เรื่องโดยรวมอาจจะไม่พีคมาก และยังไม่สามารถลงลึกกับตัวละครได้เท่าที่ควร แต่ก็ยังดูเพลินๆ และไม่ใช่ปัญหาใหญ่มากเมื่อเทียบกับการพยายามเป็น Poirot ของเขา

Previous article[Review] Justice League – ผู้เข้มแข็ง เข้มแข็งที่สุดเมื่อโดดเดี่ยว
Next article[Review] Ajin – สนุกแบบไม่คิดว่าจะสนุกขนาดนี้

Avatar photo
Latest posts by จุรีพร โนนจุ่น (see all)